นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ยางในไตรมาสที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) ของปี 2565 ว่า ราคายางมีแนวโน้มที่ดี และมีเสถียรภาพมากขึ้่น เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ยางยังมีมากกว่าปริมาณผลผลิตเช่นเดียวกับไตรมาสแรก โดยในประเทศไทยคาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 763,000 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.37% เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหยุดการกรีดยาง
ประกอบกับสภาพอากาศและฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2565 เป็นต้นมา ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่าจะตกไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน 2565 ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของโรคใบร่วง จึงส่งผลให้ผลผลิตยางไตรมาสนี้จะออกสู่ตลาดลดลง ซึ่งจะทำให้การส่งออกลดลงด้วย เหลือประมาณ 994,000 ล้านต้น หรือลดลง 6.36%
นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกประเทศยังส่งผลดีต่อสถานการณ์ยาง โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกยางรายใหญ่ ผลผลิตยางลดลดกว่า 30% เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานกรีดยาง ปัญหาโรคใบร่วงที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ และสวนยางบางแห่งเปลี่ยนจากยางพาราไปปลูกปาล์มน้ำมันที่มีราคาดีกว่า ในขณะที่ประเทศผู้ปลูกยางรายใหม่ไม่ว่าจะเป็น ประเทศลาว เวียตนาม คุณภาพยางย้งต่ำไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
ส่วนแนวโน้มการส่่งออกยางของไทยนั้น แม้ไตรมาสที่ 2 จะส่งออกลดลง แต่มีแนวโน้มที่ดี เนื่อง จากสต๊อกยางของประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของยางจากไทย พบว่า สต๊อกในเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่าน ก็ลดลงจากเดือนมีนาคม 2565 จีนต้องนำเข้ายางเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณสต๊อกยาง เช่นเดียวกับตัวชี้วัดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้ยางไม่ว่าจะเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกา EU ญี่ปุ่น ยังคงขยายตัวเหนือระดับ50 โดยดัชนี PMI ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำ GDP สหรัฐอเมริกาขยายตัว59.20 EU ขยายตัว 55.50 และญี่ปุ่นขยายตัว 53.50
นอกจากนี้อุตสาหกรรมยางล้อซึ่งใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบเริ่มฟื้นตัวหลังสถานการณ์ Covid – 19 คลี่คลาย โดยอุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ประเทศจีนเพิ่มขึ้น10.2% สหรัฐ อเมริกาเพิ่มขึ้น 19.3% และญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 13.1% ในขณะที่อุตสาหกรรมยางล้อรถบรรทุก ก็มียอดผลิตเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยประเทศจีนเพิ่มขึ้น 2.5% อินเดียเพิ่มขึ้น16.9% และสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 16.4%
ด้านนางสาวอธิวีณ์ แดงกนิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจยาง กยท. เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 มีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้ราคายางเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีค.ศ. 2021 ยอดการผลิตสูงถึง 6.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 109% จากปีก่อนหน้า โดยจีนครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดมากถึง 3.2 ล้านคัน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ทำให้จีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในปี 2022 ทั้งนี้รถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้ยางล้อที่มีสมรรถนะสูงกว่ายางล้อทั่วไป ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ยางเพื่อนำไปผลิตยางล้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้สถานการณ์การขนส่งทางเรือดีขึ้น ทิศทางของค่าขนส่งทางเรือปรับตัวลดลง รวมถึงภาวะขาดดุลทางอุปทานยางธรรมชาติที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ ยอดผู้ติดเชื้อ Covid – 19 ลดลง ทำให้กิจกรรมในหลายประเทศกลับมาเป็นปกติ เศรษฐกิจของหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้่จะทำให้ความต้องการใช้ยางเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณยางมีจำนวนจำกัด ดังนั้นแนวโน้มที่ยางจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพจึงมีความเป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตามเกษตรกรชาวสวนยางจะต้องปรับตัวในการทำสวนยางให้ได้มาตรฐานด้วย ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานต่างๆให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยได้มีการนำมากำหนดเป็นเงื่อนไขในการรับซื้อยาง ดังนั้น กยท.จึงส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยาง ทำสวนยางให้ได้มาตรฐาน FSC และนำระบบ Rubberway เข้ามาใช้สำรวจและเก็บข้อมูลของชาวสวนยางอีกด้วย