นายชนิต สุวรรณพรินทร์ ผู้อำนวยการอาวุโส - บริหารการตลาดและการขาย บริษัท บ้านปู เน็กซ์จำกัด กล่าวว่า รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าปี 2565 ตลาดโซลูชันโรงงานอัจฉริยะไทย(Smart Factory Solutions: SFS) มีแนวโน้มเติบโต 9.4% โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการดิสรัปชันของเทคโนโลยี (Technology Disruption) ภาวะโลกร้อน วิกฤติโควิด-19 และการขาดแคลนแรงงาน ที่เร่งให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะมาขับเคลื่อนการดำเนินงาน
เทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะจะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยสร้างอีโคซิสเต็ม สู่การเป็น Smart Eco 4.0 และ Smart Factory ยกระดับกระบวนการผลิตและบริหารจัดการโรงงานอย่างครบวงจร โดย 5 เทรนด์ตัวอย่าง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะเข้ากับกระบวนการต่างๆ ดังนี้
การใช้เทรนด์เทคโนโลยีข้างต้น สามารถสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจได้หลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นสร้างความคุ้มค่าระยะยาว ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า การใช้แรงงาน และทรัพยากร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทั้งด้านปริมาณ ความเร็ว ความแม่นยำ คุณภาพในการผลิต และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ต่อยอดธุรกิจ นำข้อมูลเชิงลึกจากระบบต่างๆ ไปพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มความปลอดภัย ลดโอกาสในการเกิดอุบัติภัยในโรงงาน ลดความเสี่ยงโควิด-19 สร้างความยั่งยืนรอบด้าน ลดการปล่อย CO2 การใช้พลังงานและทรัพยากรเกินจำเป็น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ทุกคนและ เพิ่มมูลค่าธุรกิจ ส่งเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจที่ดำเนินงานยั่งยืนตามหลัก ESG สามารถยกระดับสู่ต้นแบบนิคมฯ และโรงงานอัจฉริยะ
การเตรียมตัวสู่ Smart Eco 4.0 และ Smart Factory ผู้ประกอบการควรประเมิน Pain point ความต้องการ ต้นทุน และปัจจัยต่างๆ เลือกผู้ให้บริการโซลูชันอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ มีประสบการณ์ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและบริการที่ครบวงจร โดยบ้านปู เน็กซ์ มีโซลูชันอัจฉริยะที่หลากหลาย อาทิ โซลูชันฉลาดวิเคราะห์และการจัดการพลังงาน, ระบบโซลาร์, ระบบไมโครกริด, บริการระบบสัญจรทางเลือกแบบครบวงจรของยานพาหนะไฟฟ้า , สมาร์ทเซฟตี้ แพลตฟอร์ม ฯลฯ
ทุกบริการมีดิจิทัลแพลตฟอร์ม และแอปฯ ที่สามารถควบคุม สั่งการ และมอนิเตอร์การทำงานได้เรียลไทม์ โดยโซลูชันเหล่านี้เป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สามารถเติมเต็ม และพัฒนาโรงงาน และนิคมฯ ให้สมาร์ท เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนยิ่งขึ้น