27 พ.ค.2565- ภารกิจร้อน ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ 'นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ' กับปัญหา "สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว" ซึ่งตั้งธงไว้ ขอเวลา 1 เดือน เพื่อสะสางนั้น ยังคงได้รับความสนใจจากภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ อดีตผู้ลงสมัคร เลือกตั้ง ผู้ว่า กทมฯ นางสาวรสนา โตสิตระกูล เบอร์ 7 ที่ต้องการผลักดันแผนงาน รถไฟฟ้าราคาถูก 20 บาท ตลอดสาย
ล่าสุด นางสาวรสนา ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง โดยมีข้อเสนอแนะ ถึง นายชัชชาติหลายประการ โดยหลัก ต้องการให้ไม่ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงจะเกิดตั๋วร่วมราคาเดียวได้ ตามใจความดังนี้ .....
เมื่อเย็นวานนี้ (26 พ.ค 2565) คุณชัชชาติให้สัมภาษณ์รายการวิทยุ FM 96.5 เรื่องการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว สาระโดยสรุปว่า
ปมหนี้สินที่รัฐบาลสร้างขึ้นกับส่วนต่อขยาย (2)ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็เพื่อผูกมัดให้ต่อสัมปทาน “รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก” ใช่หรือไม่
ต้องถามว่าทั้งหมดนี้คือการวางกับดักสร้างหนี้ส่วนต่อขยาย(2) เพื่อบังคับให้ผู้ว่าฯ
กทม.จากการเลือกตั้งต้องต่อสัมปทานให้เอกชนในส่วนที่เป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักที่กำลังจะหมดสัมปทานในอีก 7 ปี (2572) ใช่หรือไม่?
คุณชัชชาติไม่ควรหลงกลเอารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(จากสถานีหมอชิต ถึงสถานีอ่อนนุช) ที่เป็นของคน กทม.ไปแก้ไขหนี้สินส่วนต่อขยาย(2)ที่ไม่ใช่สมบัติของกทม. ไม่ว่าจะด้วยการต่อสัมปทานภายใต้ม.44 หรือพ.ร.บ.ร่วมทุนก็ตาม และการต่อสัมปทานด้วยพรบ.ร่วมทุนฯ ก็จะมีเอกชนรายเดียวที่ได้เปรียบเอกชนรายอื่นเหมือนเดิม ใช่หรือไม่
การที่เอกชนไม่สนใจสัมปทานเฉพาะส่วนต่อขยาย เพราะขาดทุนแน่นอน แต่อยากต่อสัมปทานส่วนหลักต่างหาก โดยเอาส่วนต่อขยายมาสร้างหนี้เพื่อเป็นเงื่อนไขมาต่อสัมปทานส่วนหลัก ใช่หรือไม่
ข้อเสนอแนะต่อผู้ว่าชัชชาติ
1) คุณชัชชาติไม่ควรหลงกลติดกับดักเรื่องหนี้จากส่วนต่อขยาย(2)ที่ไม่ใช่สมบัติของ กทม. แต่มีการสร้างหนี้ขึ้นมาบังตาประชาชนเพื่อกินรวบรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักคนกทม.ได้จ่ายเงินค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางมาตลอด และจะหมดสัมปทานในอีก7ปี (2572)
การต่อสัมปทานให้เอกชนไปอีก30ปี ในราคาสูงสุด65 บาท เป็นการโกงคนกทม. เป็นราคาที่ไม่เป็นธรรมสำหรับคนกทม. เพราะจากงบการเงินของบีทีเอส ปี2562/2563 รายงานค่าใช้จ่ายการเดินรถซึ่งน่าจะรวมส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย(2)ไว้แล้ว มีค่าใช้จ่ายเพียง 15.70 บาทเท่านั้น ใช่หรือไม่
การที่มีต้นทุนเดินรถทั้งส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย เพียง15.70บาทต่อเที่ยว และเอกชนที่ได้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย(2)จะสามารถหารายได้จากการให้เช่าพื้นที่ในสถานี จากการโฆษณา และรวมทั้งจากการเชื่อมต่อกับพื้นที่เอกชนมากกว่าปีละ5,000 ล้านแน่นอน เฉพาะสถานีส่วนหลัก ก็เคยมีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท อยู่แล้ว หากรวมส่วนต่อขยาย (2) เข้าไปด้วยน่าจะมีรายได้ถึงปีละ 5,000-8,000 ล้านบาทจึงมีข้อเคลือบแคลงว่า การผลักดันต่อสัมปทานนี้เป็นการร่วมกันหาประโยชน์ระหว่างนักการเมืองและกลุ่มทุนที่วางแผนสร้างปมหนี้สินเพื่อกินรวบรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปอีก 30ปี ในราคา65 บาท ซึ่งเป็น“กับดักของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ใช่หรือไม่
คุณชัชชาติบอกชัดเจนว่าจะไม่ต่อสัมปทานโดยม.44 ของคสช. (คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่3/2562) และดิฉันเห็นว่าคุณชัชชาติก็ต้องไม่ติดกับดักเรื่องหนี้ที่เขาอ้าง เพื่อไปต่อสัมปทานตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ด้วย
ขอให้คุณชัชชาติยึดหลักว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักเป็นของกทม. และไม่เกี่ยวกับหนี้สิน ที่รัฐบาลและผู้ว่าฯคนก่อนสร้างขึ้น คุณชัชชาติควรคืนส่วนต่อขยาย(2)ให้รฟม. ตามที่รัฐมนตรีคมนาคมพูดทวงไว้ถูกต้องแล้ว รวมทั้งไม่รับหนี้ที่รัฐบาลและผู้ว่าฯคนก่อนสร้างขึ้น รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมต้องไปจัดการเรื่องหนี้เอาเอง ใครทำผิดกฎหมายก็เอาผิดกับคนเหล่านั้น คุณชัชชาติต้องไม่หลงกลรับหนี้นั้นมาแก้ปัญหาให้ด้วยการให้ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(สถานีหมอชิต ถึง สถานีอ่อนนุช)ที่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของกทม.
2)คุณชัชชาติได้รับการเลือกตั้งมาโดยเสียงชาวกทม.ถึง 1.3 ล้านเสียง ควรเริ่มต้นใหม่โดยตั้งหลักว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะตกเป็นสมบัติของ กทม.ในปี2572 นั้น คนกทม. เป็นเจ้าของโครงสร้างระบบรางเพราะได้จ่ายค่าก่อสร้างระบบรางไปครบถ้วนแล้วที่รวมอยู่ในค่าโดยสารตลอด30ปีของสัญญาสัมปทานเดิม ดังนั้นเมื่อหมดสัญญาสัมปทานในปี2572 คน กทม.ต้องได้ราคาค่าโดยสารถูกลง ไม่ใช่ราคา65 บาท นี่คือประโยชน์สูงสุดที่คุณชัชชาติจะทำให้กับชาวกทม.ได้
3)หากคุณชัชชาติเห็นว่ารถไฟฟ้าทั้งหมดในกทม.ควรมีเจ้าของเดียว เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ดิฉันเสนอให้คุณชัชชาติยกรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักที่จะหมดสัมปทานในปี2572ให้รฟม.เพื่อแลกกับอำนาจต่อรองการกำหนดค่าโดยสารให้ชาวกทม. และควรเสนอว่ากระทรวงคมนาคมก็ต้องไม่ยกสัมปทานรถไฟฟ้าสายอื่น เช่นสายสีส้มให้กับเอกชนอีกด้วย เพื่อให้รฟม.เป็นเจ้าของระบบรางเพียงรายเดียวดังที่คุณชัชชาติได้ให้สัมภาษณ์ ไว้ เพื่อให้ รฟม.สามารถมีอำนาจกำหนดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบได้
คุณชัชชาติควรยกรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้รฟม.แลกกับข้อเสนอให้คิดราคาค่าโดยสารตั๋วร่วมราคาเดียวตลอดการเดินทางทั้ง10สาย (466ก.ม) สูงสุดในราคาไม่เกิน44บาท ซึ่งคำนวณจากสูตรของกระทรวงคมนาคมเองที่ใช้ 12+2x (ค่าแรกเข้าคือ12 บาท ส่วน 2x คือสถานีละ 2บาท และXคือจำนวนสถานี ราคาสูงสุด44 บาท) ที่ผ่านมามีสถิติคนขึ้นรถไฟฟ้าสูงสุด เพียง7 สถานีเท่านั้น ดังนั้นคนกทม.จะจ่ายค่าเดินทาง 7 สถานีได้ในราคา 26 บาทเท่านั้น
การทำให้รถไฟฟ้าเป็นขนส่งมวลชนที่คนทุกรายได้สามารถเดินทางได้ ค่าโดยสารที่ถูกลงก็จะเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจาก 1.1 ล้านคน/ปี (ประเมินโดยกระทรวงคมนาคม) เป็น 3-4 ล้านคน/ปี การผลักดันตั๋วร่วมราคาเดียวที่44บาท จะเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับคน กทม. และหากทำเช่นนี้ได้ ก็จะเป็นการแก้ปัญหารถติด และฝุ่นพิษ PM 2.5 ไปได้ด้วยเพราะPM 2.5 เกิดจากไอเสียรถที่ใช้น้ำมันฟอสซิล
" ดิฉันเชื่อมั่นว่าหากคุณชัชชาติทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุด ให้กับชาวกทม.และท่านจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้ว่าได้2 สมัยอย่างแน่นอนเพื่อทำให้ภารกิจตั๋วร่วมราคาเดียวของรถไฟฟ้าเกิดขึ้นเป็นจริงได้หลังปี 2572"