รสนา แนะ 'ชัชชาติ' ยกสายสีเขียวให้ รฟม. แลกตั๋วร่วมราคาเดียว

27 พ.ค. 2565 | 09:10 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ค. 2565 | 16:16 น.

ปมร้อน 'หนี้บีทีเอส' รสนา แนะ 'ชัชชาติ' ผู้ว่า กทม.คนใหม่ ยืนกราน ไม่ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว แม้แต่ผ่าน พรบ.ร่วมทุนก็ตาม เสอนโยกทุกสายให้ รฟม. ปูทางเกิดตั๋วร่วมราคาเดียว

27 พ.ค.2565- ภารกิจร้อน ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ 'นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ' กับปัญหา "สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว" ซึ่งตั้งธงไว้ ขอเวลา 1 เดือน เพื่อสะสางนั้น ยังคงได้รับความสนใจจากภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ อดีตผู้ลงสมัคร เลือกตั้ง ผู้ว่า กทมฯ นางสาวรสนา โตสิตระกูล เบอร์ 7 ที่ต้องการผลักดันแผนงาน รถไฟฟ้าราคาถูก 20 บาท ตลอดสาย 

 

ล่าสุด นางสาวรสนา ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง โดยมีข้อเสนอแนะ ถึง นายชัชชาติหลายประการ โดยหลัก ต้องการให้ไม่ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงจะเกิดตั๋วร่วมราคาเดียวได้ ตามใจความดังนี้ .....

เมื่อเย็นวานนี้ (26 พ.ค 2565) คุณชัชชาติให้สัมภาษณ์รายการวิทยุ FM 96.5 เรื่องการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว สาระโดยสรุปว่า

  1. การแก้ปัญหาหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะไม่ต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอสโดยอาศัยอำนาจ คสช. มาตรา 44 (คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่3/2562) แต่ ถ้าจะต่อสัมปทาน ก็“จะต่อสัญญาสัมปทาน”โดยอาศัย  พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพราะมีหลายเจ้ามาแข่งขันกัน
  2. รฟม.เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าอื่นๆ 10สาย ส่วนกทม.มีสายเดียว ต้องการให้เกิดตั๋วร่วมราคาเดียว ซึ่งควรมีเจ้าของเดียวจะได้ไม่เกิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน

 

ปมหนี้สินที่รัฐบาลสร้างขึ้นกับส่วนต่อขยาย (2)ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็เพื่อผูกมัดให้ต่อสัมปทาน “รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก” ใช่หรือไม่

  • รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนที่เป็นสายหลักคือ จากสถานีหมอชิต ถึง สถานีอ่อนนุช จะหมดสัมปทาน30ปีกับเอกชนในปี 2572 และจะเป็นสมบัติของ กทม. โดยชาวกทม.ได้จ่ายค่าโครงสร้างพื้นฐานระบบรางรวมอยู่ในราคาค่าโดยสารไปแล้ว เมื่อหมดสัมปทานก็จะไม่มีต้นทุนค่าโครงสร้าง จะมีก็แค่ค่าใช้จ่ายการเดินรถ และค่าบำรุงรักษาเท่านั้นซึ่งจากรายงานการเงินของบีทีเอส พบว่าค่าใช้จ่ายการเดินรถเพียงเที่ยวละ10-16 บาทเท่านั้น ดังนั้นราคาค่าโดยสารเที่ยวละ 20 บาทตลอดสายจึงเป็นไปได้

 

  • รัฐบาลได้สร้างส่วนต่อขยาย (2)จากสถานีหมอชิต ไปถึง คูคต และส่วนต่อขยายจากสถานีอ่อนนุชถึงสมุทรปราการ โดยมีการประเมินว่าส่วนต่อขยาย(2)ไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ หมายความว่าจะไม่มีเอกชนรายไหนสนใจจะมาสัมปทานส่วนต่อขยายนั้น คือเดินรถไปก็ขาดทุนแน่นอน แต่รัฐบาลเห็นว่ามีผลดีทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นการช่วยประชาชนย่านปริมณฑลเดินทางเข้ามาในเมือง ซึ่งรัฐบาลต้องจัดงบฯอุดหนุนให้มีการเดินรถในส่วนต่อขยายนี้เองไม่ใช่ผลักภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กทม. แต่ปรากฎว่ารัฐบาลไม่ได้จัดงบฯอุดหนุนให้กทม.เดินรถ จึงเกิดหนี้จากการเดินรถใน2-3 ปีที่ผ่านมา

 

  • ผู้ว่าฯจากการเลือกตั้ง กทม.ยุคก่อน คสช.ไปทำสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย(2)ไปถึงปี 2585 ด้วยสัญญจ้างเดินรถ 1.6 แสนล้านบาท ทั้งที่รถสายสีเขียวส่วนหลัก (สถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุช)จะหมดอายุสัมปทานในปี 2572 จึงเกิดการเขย่งหากจะมีการประมูลการเดินรถ สายสีเขียวส่วนหลักหลังหมดสัมปทานในปี2572 ข้ออ้างว่าการทำสัญญาจ้างเดินรถถึง 2585 มาจากเหตุผลเรื่องความคุ้มค่าของการลงทุนขบวนรถไฟซึ่งเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดิมได้เปรียบเอกชนรายอื่นถ้าจะมีการประมูลการเดินรถ ใช่หรือไม่ 

 

  • ส่วนต่อขยาย(2) คือจากสถานีหมอชิต ถึงคูคต และจากสถานีอ่อนนุชถึงสมุทรปราการ กทม.ยังไม่ได้รับโอนมาเป็นสมบัติของกทม. ดังนั้นส่วนต่อขยายดังกล่าว จึงยังคงเป็นสมบัติของ รฟม. และกระทรวงคมนาคม 

 

  • ผู้ว่ากทม.ที่คสช.แต่งตั้งขึ้นเป็นผู้สั่งให้เดินรถส่วนต่อขยาย(2) โดยไม่ได้ของบฯสนับสนุนจากรัฐบาล จึงทำให้ขาดทุนจากการจ้างเดินรถและเกิดเป็นหนี้ก้อนโตขึ้นมา 

 

ต้องถามว่าทั้งหมดนี้คือการวางกับดักสร้างหนี้ส่วนต่อขยาย(2)  เพื่อบังคับให้ผู้ว่าฯ
กทม.จากการเลือกตั้งต้องต่อสัมปทานให้เอกชนในส่วนที่เป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักที่กำลังจะหมดสัมปทานในอีก 7 ปี (2572) ใช่หรือไม่?

 

คุณชัชชาติไม่ควรหลงกลเอารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(จากสถานีหมอชิต ถึงสถานีอ่อนนุช) ที่เป็นของคน กทม.ไปแก้ไขหนี้สินส่วนต่อขยาย(2)ที่ไม่ใช่สมบัติของกทม. ไม่ว่าจะด้วยการต่อสัมปทานภายใต้ม.44 หรือพ.ร.บ.ร่วมทุนก็ตาม และการต่อสัมปทานด้วยพรบ.ร่วมทุนฯ ก็จะมีเอกชนรายเดียวที่ได้เปรียบเอกชนรายอื่นเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ 

 

การที่เอกชนไม่สนใจสัมปทานเฉพาะส่วนต่อขยาย เพราะขาดทุนแน่นอน แต่อยากต่อสัมปทานส่วนหลักต่างหาก โดยเอาส่วนต่อขยายมาสร้างหนี้เพื่อเป็นเงื่อนไขมาต่อสัมปทานส่วนหลัก ใช่หรือไม่

 

ข้อเสนอแนะต่อผู้ว่าชัชชาติ

1) คุณชัชชาติไม่ควรหลงกลติดกับดักเรื่องหนี้จากส่วนต่อขยาย(2)ที่ไม่ใช่สมบัติของ กทม. แต่มีการสร้างหนี้ขึ้นมาบังตาประชาชนเพื่อกินรวบรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักคนกทม.ได้จ่ายเงินค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางมาตลอด และจะหมดสัมปทานในอีก7ปี (2572) 

 

การต่อสัมปทานให้เอกชนไปอีก30ปี ในราคาสูงสุด65 บาท เป็นการโกงคนกทม. เป็นราคาที่ไม่เป็นธรรมสำหรับคนกทม. เพราะจากงบการเงินของบีทีเอส ปี2562/2563 รายงานค่าใช้จ่ายการเดินรถซึ่งน่าจะรวมส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย(2)ไว้แล้ว มีค่าใช้จ่ายเพียง 15.70 บาทเท่านั้น ใช่หรือไม่

 

การที่มีต้นทุนเดินรถทั้งส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย เพียง15.70บาทต่อเที่ยว และเอกชนที่ได้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย(2)จะสามารถหารายได้จากการให้เช่าพื้นที่ในสถานี จากการโฆษณา และรวมทั้งจากการเชื่อมต่อกับพื้นที่เอกชนมากกว่าปีละ5,000 ล้านแน่นอน เฉพาะสถานีส่วนหลัก ก็เคยมีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท อยู่แล้ว หากรวมส่วนต่อขยาย (2) เข้าไปด้วยน่าจะมีรายได้ถึงปีละ 5,000-8,000 ล้านบาทจึงมีข้อเคลือบแคลงว่า การผลักดันต่อสัมปทานนี้เป็นการร่วมกันหาประโยชน์ระหว่างนักการเมืองและกลุ่มทุนที่วางแผนสร้างปมหนี้สินเพื่อกินรวบรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปอีก 30ปี ในราคา65 บาท ซึ่งเป็น“กับดักของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ใช่หรือไม่

 

คุณชัชชาติบอกชัดเจนว่าจะไม่ต่อสัมปทานโดยม.44 ของคสช. (คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่3/2562) และดิฉันเห็นว่าคุณชัชชาติก็ต้องไม่ติดกับดักเรื่องหนี้ที่เขาอ้าง เพื่อไปต่อสัมปทานตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ด้วย 

 

ขอให้คุณชัชชาติยึดหลักว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักเป็นของกทม. และไม่เกี่ยวกับหนี้สิน ที่รัฐบาลและผู้ว่าฯคนก่อนสร้างขึ้น คุณชัชชาติควรคืนส่วนต่อขยาย(2)ให้รฟม. ตามที่รัฐมนตรีคมนาคมพูดทวงไว้ถูกต้องแล้ว รวมทั้งไม่รับหนี้ที่รัฐบาลและผู้ว่าฯคนก่อนสร้างขึ้น รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมต้องไปจัดการเรื่องหนี้เอาเอง ใครทำผิดกฎหมายก็เอาผิดกับคนเหล่านั้น คุณชัชชาติต้องไม่หลงกลรับหนี้นั้นมาแก้ปัญหาให้ด้วยการให้ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(สถานีหมอชิต ถึง สถานีอ่อนนุช)ที่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของกทม.

 

2)คุณชัชชาติได้รับการเลือกตั้งมาโดยเสียงชาวกทม.ถึง 1.3 ล้านเสียง ควรเริ่มต้นใหม่โดยตั้งหลักว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะตกเป็นสมบัติของ กทม.ในปี2572 นั้น คนกทม. เป็นเจ้าของโครงสร้างระบบรางเพราะได้จ่ายค่าก่อสร้างระบบรางไปครบถ้วนแล้วที่รวมอยู่ในค่าโดยสารตลอด30ปีของสัญญาสัมปทานเดิม ดังนั้นเมื่อหมดสัญญาสัมปทานในปี2572 คน กทม.ต้องได้ราคาค่าโดยสารถูกลง ไม่ใช่ราคา65 บาท นี่คือประโยชน์สูงสุดที่คุณชัชชาติจะทำให้กับชาวกทม.ได้

 

3)หากคุณชัชชาติเห็นว่ารถไฟฟ้าทั้งหมดในกทม.ควรมีเจ้าของเดียว เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ดิฉันเสนอให้คุณชัชชาติยกรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักที่จะหมดสัมปทานในปี2572ให้รฟม.เพื่อแลกกับอำนาจต่อรองการกำหนดค่าโดยสารให้ชาวกทม. และควรเสนอว่ากระทรวงคมนาคมก็ต้องไม่ยกสัมปทานรถไฟฟ้าสายอื่น เช่นสายสีส้มให้กับเอกชนอีกด้วย เพื่อให้รฟม.เป็นเจ้าของระบบรางเพียงรายเดียวดังที่คุณชัชชาติได้ให้สัมภาษณ์ ไว้ เพื่อให้ รฟม.สามารถมีอำนาจกำหนดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบได้ 

 

คุณชัชชาติควรยกรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้รฟม.แลกกับข้อเสนอให้คิดราคาค่าโดยสารตั๋วร่วมราคาเดียวตลอดการเดินทางทั้ง10สาย (466ก.ม) สูงสุดในราคาไม่เกิน44บาท ซึ่งคำนวณจากสูตรของกระทรวงคมนาคมเองที่ใช้ 12+2x (ค่าแรกเข้าคือ12 บาท ส่วน 2x คือสถานีละ 2บาท และXคือจำนวนสถานี ราคาสูงสุด44 บาท) ที่ผ่านมามีสถิติคนขึ้นรถไฟฟ้าสูงสุด เพียง7 สถานีเท่านั้น ดังนั้นคนกทม.จะจ่ายค่าเดินทาง 7 สถานีได้ในราคา 26 บาทเท่านั้น

 

การทำให้รถไฟฟ้าเป็นขนส่งมวลชนที่คนทุกรายได้สามารถเดินทางได้ ค่าโดยสารที่ถูกลงก็จะเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจาก 1.1 ล้านคน/ปี (ประเมินโดยกระทรวงคมนาคม) เป็น 3-4 ล้านคน/ปี การผลักดันตั๋วร่วมราคาเดียวที่44บาท จะเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับคน กทม. และหากทำเช่นนี้ได้ ก็จะเป็นการแก้ปัญหารถติด และฝุ่นพิษ PM 2.5 ไปได้ด้วยเพราะPM 2.5 เกิดจากไอเสียรถที่ใช้น้ำมันฟอสซิล

 

" ดิฉันเชื่อมั่นว่าหากคุณชัชชาติทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุด ให้กับชาวกทม.และท่านจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้ว่าได้2 สมัยอย่างแน่นอนเพื่อทำให้ภารกิจตั๋วร่วมราคาเดียวของรถไฟฟ้าเกิดขึ้นเป็นจริงได้หลังปี 2572"