นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงประเด็นกระแสข่าวเรื่องค่าการกลั่นน้ำมันที่พรรคกล้าออกมาให้ข้อมูลว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า หรืออยู่ที่ประมาณ 8.56 บาทต่อลิตร ว่า จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และข้อมูลที่เผยแพร่ โดย สนพ. จะมีการเผยแพร่ค่าการกลั่นมาต่อเนื่องบนเว็บไซด์
ทั้งนี้ จะมีวิธีการคำนวณค่าการกลั่นด้วยการนำราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยจากทั้ง 3 แหล่ง ได้แก่ ดูไบ โอมาน และทาปิส (Tapis)ของมาเลเซีย มาเฉลี่ยกับค่าน้ำมันสำเร็จรูปทุกประเภทที่ผลิตได้จากโรงกลั่น ซึ่งต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ในน้ำมัน 1 ลิตร สามารถกลั่นออกมาได้เป็นทั้งเบนซิน ดีเซล และน้ำมันเตา โดยที่แต่ละชนิดน้ำมันจะมีราคาที่แตกต่างกัน ทั้งราคาถูก และแพง
"การที่นำราคาน้ำมันสำเร็จรูปมาลบกับราคาน้ำมันดิบ อาจจะไม่ใช่ค่าการกลั่นที่แท้จริง เนื่องจากโรงกลั่นจะมีการกลั่นน้ำมันหลายชนิดทั้งที่มีราคาถูก และแพง โดยจากข้อมูลที่พรรคกล้านำมาเสนอ เป็นการใช้ข้อมูลจากราคาน้ำมันดิบเพียงแหล่งเดียว ไม่ใช่ 3 แหล่งแบบที่ สนพ. ใช้คำนวณ"
นอกจากนี้ ในช่วงปี 63-64 ยังเป็นปีที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ไม่ปกติ ความต้องการใช้น้ำมันมีไม่มาก ค่าการกลั่นจึงอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าค่าการกลั่นในปัจจุบันอาจะมีราคาที่สูงเกินจริง แต่ไม่ถึงขนาดราคา 8.56 บาทต่อลิตรตามที่พรรคกล้านำเสนอข้อมูล โดยค่าการตลาดเดือน มิ.ย. อยู่ที่ประมาณ 5.56 บาทต่อลิตร ส่วนเดือน พ.ค. อยู่ที่ 5.2 บาทต่อลิตร
นายสมภพ กล่าวต่อไปอีกว่า ข้อมูลค่าการกลั่นเฉลี่ยยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่
"โดยสรุปช่วง 10 ปีที่ผ่านมาค่าการกลั่นเฉลี่ยจะอยู่ทีประมาณ 2-3 บาทต่อลิตร ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนขึ้น ลงตามสถานการณ์ความต้องการใช้ในตลาดโลก"
สำหรับค่าการกลั่นน้ำมันที่พรรคกล้า โดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค ออกมาให้ข้อมูลนั้น เป็นข้อมูลในช่วง 3 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย
"จากตัวเลขดังกล่าวถือว่าค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น 10 เท่า ทั้งที่ต้นทุนการกลั่นไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสูงขึ้น แต่ราคาขายก็สูงขึ้น แต่ส่วนต่างของกำไรของเหล่าโรงกลั่นไทยเพิ่มเกือบ 10 เท่า ซึ่งเป็นภาระของประชาชน ภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นหนี้มากขนาดนี้ โดยปัจจุบันติดลบ 8.6 หมื่นล้าน และไม่มีคำอธิบายว่าทำไมรัฐปล่อยให้มีการทำกำไรมากขนาดนี้ ขณะทีประชาชนเดือดร้อน" นายกรณ์กล่าวและว่า