สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 2.27 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 117.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.3 ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 119.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังมีรายงานข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐประกาศคว่ำบาตรบริษัทอิหร่าน, จีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ที่ช่วยเหลืออิหร่านในการส่งออกปิโตรเคมี โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะกดดันอิหร่านให้กลับเข้าสู่การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันในลิเบียลดฮวบสู่ระดับ 100,000 - 150,000 บาร์เรล/วัน จากระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วันในปีที่แล้ว โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่าลิเบียกำลังเผชิญปัญหาด้านการส่งมอบน้ำมัน อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ
ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบปิดตลาดในแดนบวก หลังจากสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงในช่วงแรก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยหลังจากธนาคารกลางทั่วโลกพากันประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปี
ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ฮังการี บราซิล บราซิล ไต้หวัน ฮ่องกง และอาร์เจนตินา ต่างก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน