นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตอนนี้ ทราบว่า จังหวัดชายแดนมีการลักลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชา และต้นกล้ากัญชาเป็นจำนวนมาก และขายทั้งเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าอย่างแพร่หลาย ทั้งที่ กรมวิชาการเกษตรได้ออกประกาศควบคุมนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชาและควบคุมป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์อย่างเข้มงวด ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” สั่งการให้กรมวิชาการเกษตร เร่งดำเนินการ
ให้ด่านกักพืชทุกด่านตรวจการนำเข้าเมล็ดพันธุ์และต้นกล้ากัญชาอย่างเข้มงวด และให้อธิบดีสนับสนุนอัตรากำลัง เครื่องมือ และอุปกรณ์เพื่อการป้องกันการลักลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์และต้นกล้ากัญชาจากประเทศเพื่อนบ้าน “เป็นการเฉพาะกิจ” พร้อมกับให้บังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มคนที่ลุกลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์และต้นกล้ากัญชาอย่างรุนแรงและทันที ตามโทษสูงสุดที่กฎหมายทุกฉบับที่บังคับใจอย่างจริงจัง
นายระพีภัทร์ กล่าวว่า ให้ประสานงานทุกหน่วยราชการสังกัดกระทรวงเกษตรในพื้นที่ให้ช่วยบูรณาการจัดการการลักลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์และต้นกล้ากัญชา และอำนวยความสะดวกกับทุกหน่วยงานที่สนับสนุน ให้ขอความร่วมมือ สนับสนุนและปฏิบัติการร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ สตช. เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อป้องกันการลักลอบ และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนี้เป็นงานสำคัญเร่งด่วน
“ให้รายงานผลการปฏิบัติงานให้รมช.ทราบทุกระยะ พรัอม ขอให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนงเพื่อเป็นหูเป็นตาให้ทางราชการด้วย ประชาชนสามารถรายงานตรงเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร ได้ที่สายด่วน 1174 หรือ เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกจังหวัด เตือนมีโทษปรับ– จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ”
อนึ่ง พระราชบัญญัติพันธ์พืช พ.ศ.2518 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.พันธ์พืช (ฉบับที่2) พ.ศ.2535 (ฉบับที่3) พ.ศ.2550 มีโทษดังนี้
1. จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
2. จำหน่ายเมล็ดพันธ์ปลอม มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่ เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. จำหน่ายเมล็ดพันธุ์เสื่อมคุณภาพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ไม่ติดแสดงใบอนุญาตในที่เปิดเผย มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท