นายอรรถพล ฤกษ์พิบูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ ปตท. เปิดผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลบวกลบ หรือ มีราคาเฉลี่ยทั้งปีนี้ อยู่ที่ระดับ 103-104 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ จะทำให้ต้นทุนราคาขายปลีกพลังงานโดยรวมของไทยทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แนวทางรับมือที่ดี คือ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศในช่วงที่ราคาแพง ขณะที่ทุกธุรกิจในกลุ่ม ปตท.ได้มีการทำประกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาไว้รองรับแล้ว
ขณะที่ปีหน้า คาดว่า ราคาน้ำมันดิบจะอ่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ หากไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ปัญหาการสู้รบระหว่างประเทศมหาอำนาจ และการคว่ำบาตรรัสเซียที่ไม่รุนแรงขึ้น
โดยราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปีหน้า เนื่องจากคาดว่าจะมีปริมาณน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดมากขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก(โอเปก) เตรียมทยอยปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน
ซึ่งถึงสิ่นปีนี้ น่าจะมีปริมาณน้ำมันดิบป้อนเข้าสู่ตลาดอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่หวือหวา จึงน่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงได้
ขณะที่ต้นทุนราคาพลังงานอื่นๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ก็คาดว่าจะเริ่มทยอยอ่อนตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่ในส่วนของLNG ราคาจะยังปรับขึ้น-ลงตามซีซั่น
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของ ปตท.ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ คาดว่า ยอดขายจะปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมาและสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง
และมีการเปิดประเทศทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น ดังนั้นน่าจะส่งผลให้รายได้ปรับสูงขึ้น โดยเบื้องต้นพบว่า ยอดการใช้น้ำมันในปัจจุบันเริ่มกลับมาฟื้นตัวใกล้เคียงกับช่วงปี 2562 ที่เป็นสถานการณ์ปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ดี ช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่ม ปตท. ยังเดินหน้าขยายการลงทุนด้านพลังงานตามแผนลงทุน 5 ปี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่ต้องวางแผนการลงทุนระยะยาว เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต แต่การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เทรนด์ของอนาคตกลุ่ม ปตท.ก็จะไม่ลงทุนเพิ่มเติม เช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า วิธีการที่ดีที่สุดในยามเกิดวิฤกตพลังงาน คือ การประหยัดพลังงาน และ ปตท. มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยยึด 3 เรื่องหลัก คือ 1.ความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งวันนี้ไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาการขาดแคลน ,2.ราคาพลังงาน ซึ่งต้องเป็นไปตามตลาดการค้าเสรี
และ3.คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องวางแผนให้เกิดสมดุลในทุกด้าน และไม่ถูกกระทบจากกติกากีดกันทางการค้าของโลก
นายอรรถพล กล่าวต่อไปอีกว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน ปตท.ได้เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนราคาพลังงานให้กับกลุ่เปราะบางทั้งการใช้ส่วนลดราคาNGV และLPG รวมเป็นงบประมาณเกือบ 3,300 ล้านบาทแล้ว และจะยังยืดอายุมาตรการช่วยเหลือตามนโยบายรัฐต่อไปอีก 3 เดือน เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง
“ปริมาณการใช้พลังงานของไทย ถือว่าใหญ่มาก ที่ผ่านมามีมูลค่าราว 2 ล้านล้านบาท และสิ้นปีนี้ น่าจะเกือบ 3 ล้านล้านบาท สูงขึ้นตามต้นทุนพลังงานที่แพงขึ้น ฉะนั้น การมุ่งความช่วยเหลือไปเฉพาะที่กลุ่มคนเปราะบาง น่าจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ในภาวะวิฤกต ควบคู่กับการประหยัดพลังงาน ส่วนมาตรการช่วยเหลือจะเป็นอย่างไรนั้น จะต้องรอความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐ”