“ทีดีอาร์ไอ” ประเมิน 4 ความท้าทาย ตั้งทีมแก้วิกฤติเศรษฐกิจ

21 ก.ค. 2565 | 17:05 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ค. 2565 | 17:47 น.

นักวิชาการ “ทีดีอาร์ไอ” ประเมิน 4 ความท้าทาย หลังนายกฯ เซ็นตั้งทีมแก้วิกฤติเศรษฐกิจ หวั่นถูกแทรกแซง ปูทางหาเสียงเลือกตั้ง

ประเด็นที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 170/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2565  โดยมีองค์ประกอบ หน้าที่ และอำนาจ คณะกรรมการมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ 10 รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจร่วมเป็นกรรมการ

“ดร.นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้ความเห็นว่า การแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจในรอบนี้มี 2 คณะ คือ คณะอนุกรรมการที่ติดตามและวิเคราะห์สถานะการณ์ และคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหา​วิกฤติ​เศรษฐกิจ

สำหรับชุดแรก การติดตามสถานการณ์เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งมองว่าจะเกิดประสิทธิภาพ​หากมีการรวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วน และเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางต่อวิกฤติเศรษฐกิจ​ เช่น ครัวเรือนยากจนที่มีเด็กเล็ก ครัวเรือนที่เป็นหนี้สูง เกษตรกรเพาะปลูกข้าว เกษตรกรที่ค้าขายกับจีนแต่ได้รับผลกระทบ​จากการที่จีนยังคงใช้ zero-covid​ policy​ แรงงานที่ว่างงานกว่า 6 แสนคน ซึ่งสูงกว่าสถานะการณ์ปกติกว่า 2 แสนคน รวมถึงบัณฑิตจบใหม่ที่หางานไม่ได้ ครัวเรือนผู้สูงอายุ คนพิการ สาขาเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าจากปัญหาโควิด เช่น ท่องเที่ยว ขนส่ง อสังหาฯ ร้านอาหาร ก่อสร้าง ซึ่งแต่ละกลุ่มจะต้องการมาตรการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน

 

สำหรับชุดที่สอง เน้นการออกมาตรการแก้ไข/บรรเทาปัญหา มีความน่า​กังวล​ใจว่าเป็นระดับเจ้ากระทรวงมารวมตัวกัน การจะทำให้เกิดผลต้องเน้นที่การบูรณาการความร่วมมือเข้าหากันให้ได้ โดยแต่ละคนเน้นเฉพาะส่วนที่ตนเองรับผิดชอบตามภารกิจของตน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน

 

สิ่งที่ขาดไปก็คือ ต้องมีนักวิชาการที่เป็นกลางเข้าไปให้ความเห็นที่เหมาะสม เพราะมาตรการ​ที่เหมาะสมต้องมีความพอดี คือ ช่วยเหลือเฉพาะคนที่ควรจะช่วยเหลือ​ให้คนที่พอไหวช่วยเหลือ​ตัวเอง การอุดหนุนต้องคำนึงถึงภาระหนี้ที่เกิดขึ้น ไม่อุดหนุนมากจนเกินไป

 

สิ่งที่น่ากลัว คือ การแทรกแซงที่เกินพอดีเพราะจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ สร้างฐานเสียงเตรียมรับการเลือกตั้ง​ที่กำลังจะมี​ขึ้น​

 

นอกจากนี้ ดร.นณริฏ ยังแสดงความห่วงใยกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอยว่า เป็นสิ่งที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า สิ่งที่ภาครัฐดำเนินการอยู่เป็นการจัดทีมเพื่อเตรียมรับมือ ส่วนตัวคิดว่าเป็นการเตรียมพร้อม​ที่ดี เหลือแค่ภาคปฏิบัติที่ควรจะมุ่งเน้นให้ตรงจุด คือ การสแกนหากลุ่มเปราะบาง​และการวางกลยุทธ์การช่วยเหลือโดยอาศัยหลักวิชาการ​เป็นเครื่องมือ​สนับสนุน

 

ภาคประชาชนเองก็ต้องเตรียมพร้อม​รับมือกับวิกฤติ​เศรษฐกิจ​ที่กำลังจะ​เกิดขึ้น​ โดยการคุมการใช้จ่ายอย่างเหมาะสมกับรายได้ เน้นการเพิ่มเงินออมเพื่อรองรับวิกฤติ รักษาตำแหน่งงานของตนเอง และใส่ใจดูแลจัดการปัญหาหนี้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ควรก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น