เป็นประเด็นร้อนฉ่าวันนี้ (26 ก.ค.) เมื่อ ทอม หรือ จุลภาส เครือโสภณ เป็นข่าวกำลังจะถูกกรมศุลกากรแจ้งดำเนินดคี กรณีนำเข้ากัญชา 9.5 กิโลกรัม ภายหลังอัดคลิปการนำเข้าช่อดอกกัญชาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามายังประเทศไทย
ปัจจุบัน ในยุคแห่ง กัญชาเสรี เราอาจรู้จัก "ทอม เครือโสภณ" ในฐานะผู้ก่อตั้ง บริษัท Golden triangle health จำกัด (GTH) ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชง-กัญชา ก่อนหน้านี้ เขามีประวัติความเป็นมาอย่างไร เรามาทำความรู้จักกัน
ก่อนเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจยอดฮิต "กัญชง-กัญชา" ของพ.ศ.นี้ ย้อนไปเมื่อกว่าสิบปีที่ผ่านมา ทอมเคยทำงานค่ายเบียร์สิงห์ในฐานะผู้ดูแลเรื่องการตลาดต่างประเทศและภาพลักษณ์แบรนด์ เขาได้รับตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2549 ตามคำชักชวนของนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี เพื่อเข้ามารับหน้าที่ในการเป็นผู้ขยายตลาดต่างประเทศให้กับผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์
ช่วงที่ทอมเป็นผู้ประสานงานการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สในประเทศไทยเมื่อปี 2548 ในนามของบริษัท ดีทีซี จำกัด นั้น กลุ่มบุญรอดโดยผลิตภัณฑ์สิงห์ได้เป็นสปอนเซอร์หลักในการจัดงานดังกล่าว จึงเป็นโอกาสให้ทอมได้กระชับความสัมพันธ์กับคนในตระกูลภิรมย์ภักดีใกล้ชิดมากขึ้น
ในช่วงเวลาที่ทำงานอยู่กับค่ายสิงห์ ทอมเป็นคนดึง "นาตาลี เกลโบวา” นางงามจักรวาลปี 2548 มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับบริษัทบุญรอดบริเวอรี่ ภาพคุ้นตาในช่วงนั้นคือ ถ้าเห็นทอมก็จะเห็นนาตาลีเดินเคียงข้างกันมาตลอด ส่วนหนึ่งเนื่องจากทอมเป็นผู้คุ้นเคยกับเวทีนางงามระดับโลก มี connection ที่ดี ได้ร่วมจัดงานใหญ่ประกวดมิสยูนิเวิร์สที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ นอกจากจะคลุกคลีกับวงการนางงามระดับอินเตอร์มาเนิ่นนานแล้ว เขายังมีความรอบรู้เรื่องการตลาดอยู่มากโดยร่ำเรียนจบมาทางด้านนี้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม เขาทำงานกับค่ายสิงห์ได้ไม่นาน ต้นปี 2550 บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และบริษัทในเครือ ได้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับวันที่ 21 มี.ค. 2550 เนื้อความประกาศว่า นายจุลภาส (ทอม) เครือโสภณ ได้สิ้นสุดสภาพพนักงานของบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2549 ทางบริษัทจึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า นายทอมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกิจกรรม และ/หรือ การดำเนินงานของบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ ทั้งสิ้น แจ้งไว้ ณ วันที่ 15 มี.ค. 2550
ทอมจึงหมดสภาพการเป็นผู้บริหารบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง ตั้งแต่สิ้นปี 2549 และทางตระกูลภิรมย์ภักดี ก็ตัดสินใจเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศให้กับเบียร์สิงห์เอง เหตุผลการแตกหักกับค่ายสิงห์นั้น ทอมอธิบายเองว่า แนวทางการบริหารของตระกูลภิรมย์ภักดีเป็นศักดินาเกินไป เข้ากันกับเขาไม่ได้ จึงต้องประกาศแยกทางกันเดิน
สำหรับประวัติชีวิตส่วนตัวนั้น ทอมใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ เขาจบการศึกษารัฐศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (ยูซีแอลเอ) ได้ประกาศนียบัตรหลักสูตรการจัดการและการตลาดสำหรับนักบริหาร จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และมหาวิทยาลัยออนตาริโอ และปริญญาโท สาขาการตลาด ยูซีแอลเอ ปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทอมเคยกลับมาเมืองไทยช่วงสั้นๆ ในปี 2531 ในฐานะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ “ปุ๋ย” พรทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาลคนที่ 2 ของไทย ก่อนที่จะขายสิทธินั้นให้กับนางอมรรัตน์ ศิริปรีชาพงษ์ ญาติของปุ๋ย และอดีตภรรยาของ นายทนง ศิริปรีชาพงษ์ “เสี่ย ป.เป็ด” เจ้าของกิจการโรงแรมลิตเติ้ลดักส์ พัทยา แล้วทอมก็ได้เดินทางกลับสหรัฐทันที
ทอมเคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า เขาไม่ประทับใจเลยกับการมาเมืองไทยครั้งแรก เพราะปัญหาหลายอย่าง หลัก ๆคือ เขามองว่าในเวลานั้นไทยยังล้าหลังอยู่มาก ตอนนั้นเขากลับไปอเมริกา และไม่คิดจะกลับมาเมืองไทยอีกเลย
การกลับสหรัฐครั้งนั้น ทอมไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาการตลาด ที่ยูซีแอลเอ มีโอกาสช่วงสั้น ๆ ได้เป็นผู้ดูแลอำนวยความสะดวกให้นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เมื่อครั้งที่ยังเป็นผู้ว่าการมลรัฐอาคันซอว์ ที่ต้องเดินทางมาหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐที่ฮอลลีวูด หลังจากนั้น เขายังได้เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายหาเสียงให้กับนายริชาร์ด เรียดัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครลองแองเจลิส และหลังจากริชาร์ด เรียดัน ได้ชัยชนะ ทอมได้รับเลือกให้เป็นโฆษกประจำตัว
นั่นเป็นการลิ้มลองประสบการณ์ในแวดวงการเมืองต่างประเทศที่ซึ่งเขาใช้ชีวิตมากกว่าที่ประเทศไทยเสียอีก แต่ทอมเองก็เคยมีโอกาสคลุกคลีแวดวงการเมืองไทยในเวลาต่อมา
ในปี 2538 ทอมกลับมาเมืองไทยเพื่อทำธุรกิจรับจัดสัมมนา โดยใช้บริษัท แปซิฟิก เอจ ของพี่ชายดำเนินการ หัวข้อการสัมมนาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่เพิ่งจะเริ่มบูมในไทยช่วงนั้น และทำให้ทอมได้รู้จักกับผู้บริหารกลุ่มทุนเทคโนโลยีหลายบริษัท และเปิดทางให้เขาได้เข้าไปดำรงตำแหน่งในบริษัทเหล่านั้นในเวลาต่อมา
ทอม เครือโสภณ เป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจในฐานะ "ดีลเมกเกอร์" ที่เก่งกาจ เขาเคยเข้าไปบริหารบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัท เช่น ประธานบริษัท ซินเนอร์ไจซ์ จำกัด, ผู้จัดการประเทศไทย บริษัท ซัมซุง อิเล็กโทรนิคส์ จำกัด, กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์เทล เน็ทเวิร์คส์ (ประเทศไทย) จำกัด, รองประธานบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รวมทั้งได้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์บางรายการด้วย
เดือนม.ค. 2561 ทอมนั่งตำแหน่งซีอีโอ บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ (TSF) ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสื่อโฆษณานอกบ้านและการประชาสัมพันธ์แบบครบวงจร ครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญในพื้นที่หลักของกรุงเทพและต่างจังหวัด
ส่วนเส้นทางสายการเมือง ชื่อของทอมเป็นที่รู้จักในช่วงปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเขาเป็นผู้ออกมาปกป้องครอบครัวชินวัตร ในการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก เมื่อต้นปี 2549 นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่ประสานงานให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาครั้งสุดท้ายก่อนถูกยึดอำนาจ
ในยุคร่วงโรยของพรรคไทยรักไทยก่อนถูกยุบ และกลุ่มก้อนต่างๆ ทยอยลาออก ทอมได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม ที่ลาออกจากพรรคไทยรักไทยมาก่อตั้งกลุ่มมัชฌิมา โดยนายสมศักดิ์ได้เชิญทอมมาร่วมกลุ่มให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน
ต่อมาในยุคการปลดล็อกกัญชาเสรีภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ชื่อของทอม เครือโสภณ กลับมาอยู่ในแสงสปอตไลท์อีกครั้งในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท Golden triangle health จำกัด หรือ GTH ที่จับมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำพิธีปลูกกัญชงและพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาการปลูกและสกัดกัญชง-กัญชา สถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ ประสบการณ์ในสหรัฐอเมริกาทำให้ทอมเชื่อมั่นว่า ธุรกิจกัญชง-กัญชา กำลังเป็นธุรกิจที่จะยิ่งใหญ่และจะเติบโตได้อีกอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (26 ก.ค.) ทอม เครือโสภณ ตกเป็นข่าวจะถูกแจ้งดำเนินคดีโดยกรมศุลกากรหลังอัดคลิปการนำเข้าช่อดอกกัญชาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เข้ามาในประเทศไทย โดยในคลิปเขาบอกว่าสามารถสั่งซื้อพร้อมแสดงเอกสารการส่งสินค้าเข้ามาในไทย ซึ่งทางกรมศุลกากรได้ตรวจพบสินค้าที่ระบุชื่อผู้รับเป็นนายทอม ซึ่งสำแดงว่าเป็นสินค้าเหล็ก แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่าภายในเป็นกัญชาน้ำหนัก 9.5 กิโลกรัม เข้าข่ายเป็นความผิดต่อกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.กักพืช และ พ.ร.บ.ศุลกากร จึงได้หารือกับทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว เห็นว่าควรพิจารณาดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ฐานสำแดงเท็จ ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ