thansettakij
เบี้ยผู้สูงอายุ-คนพิการ จ่อทะลุแสนล้าน” โมเดลใหม่ พม. ดึงกลับแรงงาน

เบี้ยผู้สูงอายุ-คนพิการ จ่อทะลุแสนล้าน” โมเดลใหม่ พม. ดึงกลับแรงงาน

07 มี.ค. 2568 | 22:09 น.

"วราวุธ ศิลปอาชา" เผยวิสัยทัศน์ปฏิรูป กระทรวง พม. เปลี่ยนกระบวนทัศน์ดูแลกลุ่มเปราะบาง ดึง "กลุ่มผู้สูงอายุ-คนพิการ" กลับสู่ตลาดแรงงาน ก่อนที่เบี้ยจะทะลุไปถึง 1.6 แสนล้านบาท หากเดินตามเสียงเรียกร้องให้จัดแบบถ้วนหน้า

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์และแนวทางการขับเคลื่อนกระทรวงในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางในสังคมไทย โดยเฉพาะการดึงศักยภาพของผู้สูงอายุและคนพิการให้กลับมามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ท่ามกลางความท้าทายจากสังคมสูงวัยและวิกฤตประชากรที่กำลังเผชิญ

 

เปลี่ยนกระบวนทัศน์: จาก "ภาระ" สู่ "พลังขับเคลื่อน"

 

นายวราวุธกล่าวว่าบริบทการทำงานของกระทรวง พม. ในปัจจุบันไม่ใช่เพียงการจัดสวัสดิการหรือให้เงินช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมาย แต่ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการมองกลุ่มเปราะบางเสียใหม่

 

"บริบทของกระทรวง พม. คือจะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือแม้แต่สตรีแม่เลี้ยงเดี่ยว เปลี่ยนสถานะจากการเป็นภาระให้สามารถอยู่ในสังคมได้ด้วยศักยภาพของเขาเอง ให้เขากลายมาเป็นหนึ่งในคนที่สามารถขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจได้" รัฐมนตรีกล่าว

นายวราวุธอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจน "เหมือนกับเราเอาเฟอร์รารี่ไปลากขบวนคาราวาน มันก็ลากไม่ไหว นี่แหละคือประเทศไทยที่อยู่ขณะนี้ ถ้าหากว่าเรามัวแต่นั่งมองว่าเราจะต้อง support ตรงนั้น support ตรงนี้ มันจะไม่เกิด productivity หน้าที่ของกระทรวง พม. วันนี้คือทำอย่างไรให้คนแต่ละกลุ่มที่เราดูแลมีศักยภาพในตัวเอง แล้วก็กลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนของสังคมและของเศรษฐกิจ"

 

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)

 

ความสำเร็จการพัฒนาศักยภาพคนพิการสู่ตลาดแรงงาน

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ยกตัวอย่างความสำเร็จในการสร้างโอกาสการทำงานให้คนพิการ ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ดำเนินการพัฒนาทักษะคนพิการมากว่า 10 ปี

 

"ที่ มจธ. เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2566 พวกเขาทำมา 10 ปีแล้ว คือการที่มหาวิทยาลัยไปทำงานกับภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชนจะบอกมาว่าต้องการทักษะแบบไหน แล้วมหาวิทยาลัยก็จะคัดเลือกคนพิการปีละ 50 คน มา upskill และ reskill ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เมื่อจบการอบรมประมาณ 8-9 เดือน คนพิการเหล่านี้ก็จะไปทำงานในบริษัทต่างๆ"

นายวราวุธเผยว่าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างสูง "ใน 10 ปี มีคนพิการผ่านโครงการนี้ 500 คน และมากกว่า 400 คน หรือกว่า 80% ได้งานทำ" ด้วยเหตุนี้ กระทรวง พม. จึงได้ขยายโครงการไปยังอีก 5 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่สุพรรณบุรี และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยเริ่มเมื่อเดือนมีนาคม 2567

 

"เราทดลองทำกับ 6 มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยละ 50 คน รวม 300 คน ในระยะเวลาหนึ่งปี ผลปรากฏว่าจาก 300 คน มี 253 คนได้งานทำ และเป็นงานที่มีรายได้เป็นหมื่นต่อเดือน ประมาณ 10,000-15,000 บาท ไม่ใช่เงินเบี้ยยังชีพที่ให้ครั้งเดียวแล้วหมด นี่คือการยกระดับคุณภาพชีวิต การเปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง"

 

ความสำเร็จนี้นำไปสู่การขยายความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อใช้เครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยอาชีวะ โดยใช้เงินจากกองทุนคนพิการมาสนับสนุน

 

"ถ้า 6 แห่งสามารถช่วยให้คนพิการได้งานทำ 253 คน ผมคิดว่าถ้า 60 แห่ง ก็จะได้ 2,530 คน ถ้าเราทำอย่างนี้ได้อย่างต่อเนื่อง คนพิการที่เคยขอเงินจากภาครัฐจะไม่ต้องขออีกต่อไป นอกจากนั้น ผมจะได้ผลิตภาพจากคนพิการกลุ่มนี้ อาจจะได้ภาษีจากพวกเขาด้วย เมื่อเขาได้เงินเดือนมา นี่คือการเปลี่ยนคาราวานที่เคยเป็นภาระ ให้มีระบบขับเคลื่อนของตัวเอง มาช่วยให้เฟอร์รารี่เดินไปข้างหน้า"

 

เบี้ยผู้สูงอายุ-คนพิการ จ่อทะลุแสนล้าน” โมเดลใหม่ พม. ดึงกลับแรงงาน

 

ดึงผู้สูงอายุกลับสู่ตลาดแรงงาน: ความท้าทายและโอกาส

 

นายวราวุธยังเน้นถึงความจำเป็นในการดึงผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่อัตราการเกิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

"ปี 2567 เป็นปีแรกในรอบ 75 ปีที่เด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 500,000 คน ฉะนั้นจากนี้ไป กำลังแรงงานของประเทศไทยจะน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเราจะเอาคนทำงานจากไหน? เราเหลือแค่คนสูงอายุและคนพิการนี่แหละที่จะมาช่วยเราได้" รัฐมนตรีกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนิยามของ "ผู้สูงอายุ" และการปรับอายุเกษียณเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน นายวราวุธยกตัวอย่างประเทศอิตาลีที่เพิ่งเปลี่ยนนิยามผู้สูงอายุจาก 65 ปี เป็น 67 ปี เนื่องจากคนมีอายุยืนยาวขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้น

 

"การที่เราจะมาปรับนิยามของคำว่าผู้สูงอายุในประเทศไทย สมมติจาก 60 ปี เป็น 65 ปี นั้น คนที่จะอายุ 60 ปีในอนาคตอันใกล้อาจรู้สึกว่า 'ฉันกำลังจะได้เบี้ยยังชีพเดือนละ 600 บาท แต่ฉันต้องรออีก 5 ปี' ซึ่งจะกระทบกับสิทธิที่เขาคาดหวัง ฉะนั้นการปรับนิยามผู้สูงอายุคงต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน อาจจะบอกว่าอีก 5 ปีหรือช่วงเวลาหนึ่งที่จะค่อยๆ ปรับขึ้นไป"

 

นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาความเหมาะสมของงานสำหรับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม และผลกระทบต่อเส้นทางอาชีพของคนรุ่นหลัง "ต้องดู career path ว่าเมื่ออายุ 60 ปีแล้ว พอเป็น 63-64 ปี เราจะให้ท่านเหล่านั้นอยู่ในสถานะใด เป็นที่ปรึกษา อยู่ในสายบริหารหรืออย่างไร มิฉะนั้นข้าราชการรุ่นน้องก็จะคิดว่า 'กว่าฉันจะได้เป็นปลัดกระทรวง ฉันต้องอายุ 64-65 ปีแล้ว' ก็จะหมดแรงทำงาน"

 

แม้จะมีความท้าทาย แต่นายวราวุธยืนยันว่าความพยายามในการดึงผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานมีความสำคัญยิ่ง 

 

"ประเด็นของผมคือผมต้องดึงคนกลุ่มนี้ที่อายุ 60-70 ปี ที่ยังมีทั้งสมองและแรงกาย กลับเข้ามาอยู่ในกำลังแรงงาน เพราะหนึ่ง เราต้องการผลิตภาพจากพวกเขาและได้รายได้จากการทำงาน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าพวกเขายังแอคทีฟอยู่ ก็จะไม่เป็นภาระทางสาธารณสุข ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่เป็นอัลไซเมอร์ ฉะนั้นมันเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ทั้งผลิตภาพและการป้องกันทางการแพทย์"

 

เบี้ยผู้สูงอายุ-คนพิการ จ่อทะลุแสนล้าน” โมเดลใหม่ พม. ดึงกลับแรงงาน

 

ความท้าทายด้านงบประมาณและการวัดผลลัพธ์

 

นายวราวุธยอมรับว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุกลายเป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี "ปัจจุบันมีผู้สูงอายุ 13.5 ล้านคน ได้รับเบี้ยยังชีพประมาณ 10 ล้านคน โดยจ่ายแบบขั้นบันได คือ อายุ 60-69 ปีได้ 600 บาท, 70-79 ปีได้ 700 บาท, 80-89 ปีได้ 800 บาท และ 90 ปีขึ้นไปได้ 1,000 บาท ปีงบประมาณ 2568 เราใช้งบประมาณเกือบ 100,000 ล้านบาท และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 160,000 ล้านบาท"

 

ความท้าทายยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อมีข้อเรียกร้องให้จ่ายเบี้ยยังชีพแบบถ้วนหน้า 1,000 บาทต่อเดือน "ถ้าจ่าย 1,000 บาทถ้วนหน้า จะใช้งบประมาณ 120,000 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นทุกปีเพราะจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น"

 

รัฐมนตรียังแสดงความกังวลต่อความยั่งยืนของระบบสวัสดิการ โดยเปรียบเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้นในบางประเทศยุโรป "วันนี้บางเมืองในยุโรป แม้แต่ในอังกฤษเอง ผมอ่านข่าวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ล้มละลายเพราะมีสวัสดิการจ่ายเยอะมาก แล้วรายได้ไม่พอรายจ่าย เราไม่ต้องการให้รัฐบาลไทยไปถึงจุดนั้น"

 

นายวราวุธยังเน้นถึงความสำคัญของการวัดผลลัพธ์จากการใช้งบประมาณในการจัดสวัสดิการ "เงินผู้สูงอายุเราจ่ายมาหลายปี ปรับขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น 600, 700, 800, 1,000 บาท เงินคนพิการเราจ่ายกันมาหลายปี แม้แต่เงินเด็กและเยาวชน 0-6 ขวบ จ่ายเดือนละ 600 บาททุกเดือนจนกระทั่งอายุครบ 6 ขวบ เราจ่ายเงินนี้ไปแล้ว ถ้าเปรียบเสมือนเราเป็นนักธุรกิจ เราลงทุนไปแล้ว ผมได้ผลตอบแทนอะไรบ้าง? Return on Investment คืออะไร? Return on Equity? Internal Rate of Return? Payback Period? มันไม่เคยวัดได้เลย"

 

"เราต้องสามารถวัดให้ได้ว่าเงินที่เราให้ไปเกิดประโยชน์อะไรบ้าง มันเกิดประโยชน์กับคุณภาพชีวิตของคนที่เราให้จริงหรือไม่" รัฐมนตรีกล่าว

 

การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติสำหรับกลุ่มเปราะบาง

 

นายวราวุธยังกล่าวถึงการเตรียมรับมือสังคมสูงอายุและความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะในภาวะภัยพิบัติ

 

"การปรับตัวที่หนักที่สุดจะเป็นกลุ่มคนสูงอายุ คนพิการ และกลุ่มเปราะบางอื่นๆ บางกระทรวงมี Risk Map แผนที่ความเสี่ยงภัยต่างๆ กระทรวง พม. เราก็ต้องมี Risk Map เหมือนกัน เช่น เกิดสถานการณ์น้ำท่วม น้ำหลาก หรือโคลนถล่มเหมือนที่เชียงใหม่ เราต้อง Revise Map ได้ ต้องสามารถบอกกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ว่า 'หมู่บ้านนี้ ไปช่วยซอยนี้ก่อน เพราะซอยนี้มีคนแก่'"

 

ด้วยเหตุนี้ กระทรวง พม. จึงมีการจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (DCCD - Disaster Care Center for the Vulnerable) "เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา shelter ที่รัฐบาลมี บางทีไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกโดยเฉพาะสำหรับคนสูงอายุ คนพิการ หรือเด็กเล็ก กระทรวง พม. จึงต้องมี Risk Map เพื่อบอกได้ว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมา ต้องไปช่วยที่ไหนก่อน"

 

การรู้เท่าทันภัยออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุ

 

นอกจากการส่งเสริมการทำงาน รัฐมนตรียังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะดิจิทัลและการรู้เท่าทันภัยออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะปัญหาการถูกหลอกลวงทางออนไลน์

 

"ความน่ากลัวของผู้สูงอายุคือพอท่านติดมือถือแล้ว ท่านติดหนักกว่าเด็กและดื้อกว่าเด็ก เด็กเรายังสั่งยึดมือถือได้ตลอดเวลา แต่เราจะไปยึดมือถือจากผู้ใหญ่ไม่ได้" นายวราวุธกล่าว พร้อมยกตัวอย่างกรณีผู้สูงอายุที่มีชื่อเสียงและมีการศึกษาสูงยังตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

 

กระทรวง พม. จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอไอเอสในการจัดทำโครงการให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุเกี่ยวกับการรู้เท่าทันภัยออนไลน์ "วันนี้พวกมิจฉาชีพรู้แล้วว่าหลอกเด็กไม่ได้เงิน แต่หลอกผู้ใหญ่ได้เงิน มีทั้งการหลอกเรื่องเงินบำนาญ การโหลดแอปพลิเคชัน การหลอกให้รัก และหลอกให้โอนเงิน เราจึงต้องให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้และอัปเดตเรื่องภัยออนไลน์ก่อน"

 

รัฐมนตรีย้ำว่า "ในโลกนี้ไม่มีใครแก่เกินเรียนรู้ ทุกคนเรียนรู้ได้หมดถ้าอยากจะเรียนรู้"

 

การพัฒนาระบบร้องเรียนและการสื่อสาร

 

นายวราวุธยังกล่าวถึงการพัฒนาระบบร้องเรียนของกระทรวง พม. ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 "เมื่อก่อน hotline ของเราจะเป็น one-way คือคนร้องเรียนเข้ามาแล้วก็หายไป แต่วันนี้ระบบของเราเป็น two-way คือเมื่อท่านร้องเรียนเข้ามา ท่านจะได้รับ case number ซึ่งท่านสามารถติดตามได้ว่าเรื่องที่ท่านร้องถึงไหนแล้ว"

 

นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลจากการร้องเรียนมาวิเคราะห์เพื่อเป็นตัวชี้วัดสภาพสังคม "ทุกเดือนเราจะเอามาประเมินว่าร้องเรียนเรื่องอะไรบ้าง ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภูมิภาค เรื่องไหนมาก่อนเรื่องไหนมาหลัง แล้วมันสะท้อนอะไรบ้างกับสังคมไทย ข้อมูลจาก พม. มันเป็นตัวชี้วัดได้เลยว่าสภาพสังคมมันเป็นอย่างไร"

 

ความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและวิสัยทัศน์อนาคต

 

นายวราวุธยังกล่าวถึงความร่วมมือของกระทรวง พม. กับองค์กรระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต โดยเฉพาะการร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติและธนาคารโลก

 

"เรามีความร่วมมือกับหลายองค์กรของ UN เช่น UNDP, UNFPA เกี่ยวกับประชากร, UN Volunteers, UN Women, UN Habitat รวมถึง World Bank และ WHO ทั้งหมด 8 องค์กรระหว่างประเทศ" รัฐมนตรีเผย โดยองค์กรเหล่านี้ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบาย "5 คูณ 5 ฝ่าวิกฤตประชากร" ของกระทรวง พม.

 

นายวราวุธยังเปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวง พม. อยู่ระหว่างการร่วมมือกับธนาคารโลกในการพัฒนาแผนรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อกลุ่มเปราะบาง "นี่เป็นครั้งแรกที่ World Bank มาทำงานร่วมกับกระทรวง พม."

 

นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมการจัดประชุมร่วมกับ UN ในวันที่ 27 มีนาคม 2568 โดยมีทั้งหมด 17 สาขาจาก 5 กระทรวงมาร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในมิติเชิงภูมิภาค

 

รัฐมนตรียังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับยุคหลัง SDGs (Sustainable Development Goals) "SDGs ทั้ง 17 ข้อ จะหมดวาระลงในปี 2030 ผมได้หารือกับ UNDP และ UN ต่างๆ ว่าหลังจากปี 2030 แผนการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นอย่างไร เพราะวันนี้ประเทศไทยของเรา ถ้าเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน ดัชนีความยั่งยืน (Sustainability Index) ของเราไม่ได้แพ้ใคร เราอยู่ในอันดับต้นๆ ของอาเซียน"

 

นโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ไขวิกฤตประชากร

 

นายวราวุธได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบาย "5 คูณ 5 ฝ่าวิกฤตประชากร" ของกระทรวง พม. ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่มุ่งแก้ไขปัญหาวิกฤตประชากรในหลายมิติ

 

"นโยบาย 5 คูณ 5 ฝ่าวิกฤตประชากรเป็นนโยบายที่เกิดจากการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ของทั้ง 20 กระทรวง ร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ 8 แห่ง ฉะนั้นนโยบายของเราค่อนข้างจะมีความแข็งแกร่งและสามารถอธิบายได้"

 

นโยบายดังกล่าวครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการสร้างความมั่นคงในอาชีพสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการ การพัฒนาระบบดูแลเด็กปฐมวัยผ่านศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ และการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับครอบครัว

 

"เราไม่ได้เน้นแค่การเพิ่มประชากร แต่เน้นการสร้างความมั่นใจให้กับวัยแรงงานว่าจะมีคนดูแลลูกและพ่อแม่ของพวกเขา มีอาชีพที่มั่นคง และมีระบบรองรับที่ดี" รัฐมนตรีกล่าว

 

การปรับเปลี่ยนบทบาทกระทรวง พม.

 

นายวราวุธยังเน้นย้ำถึงการปรับเปลี่ยนบทบาทของกระทรวง พม. จากการเป็นเพียงผู้จัดสวัสดิการ สู่การเป็นผู้พัฒนาศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

 

"ถ้าผมมาแล้วแค่รอถึงสิ้นเดือนก็แจกเงินผู้สูงอายุ แจกเงินคนพิการ เด็กเล็ก ไม่ต้องมีรัฐมนตรี ระบบมันแจกของมันเองได้ แต่ถ้ามีนโยบายเข้ามา มันต้องมาทำงานกันอีกแบบหนึ่ง" รัฐมนตรีกล่าว

 

นายวราวุธเน้นว่า กระทรวง พม. ไม่ใช่กระทรวงเล็กอย่างที่หลายคนเข้าใจ "บางคนบอกว่ากระทรวง พม. เล็ก กระทรวงวัฒนธรรมเล็ก แต่จริงๆ แล้ว ดูแลผู้สูงอายุ 14 ล้านคน ดูแลเด็กศูนย์ถึง 6 ขวบอีก 3 ล้านกว่าคน ดูแลสตรีแม่เลี้ยงเดี่ยวอีก ทั้งหมดก็เกือบ 20 ล้านคนแล้ว มันอยู่ที่หัวขบวนว่าใครจะมานั่ง และเขาคิดจะทำอะไร"

 

ผลลัพธ์จากการดำเนินงานที่ผ่านมา

 

ในช่วงระยะเวลากว่า 1 ปีที่นายวราวุธดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ได้มีการดำเนินนโยบายและโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม

 

"ในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมา ผมเน้นเรื่องการป้องกันปัญหาและการลดภาระในระยะยาว" รัฐมนตรีกล่าว โดยผลสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจน คือ โครงการพัฒนาทักษะคนพิการร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่สามารถสร้างงานให้คนพิการได้กว่า 253 คน จากเป้าหมาย 300 คน คิดเป็นร้อยละ 84

 

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบการร้องเรียนและติดตามผลผ่านสายด่วน 1300 ทำให้ประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้าของเรื่องร้องเรียนได้ รวมถึงการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงสำหรับกลุ่มเปราะบางในกรณีเกิดภัยพิบัติ

 

"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากข้าราชการและหน่วยงานต่างๆ ทำให้กระทรวง พม. มีความคึกคักและมีข่าวตลอด" นายวราวุธกล่าว

 

ในท้ายที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เน้นย้ำถึงปณิธานในการทำงานว่า

 

"ผมอยู่ที่ไหน ผมไม่อยู่นิ่ง ที่นั่นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อความยุติธรรมและความอยู่ดีมีสุขของประชาชน"