จากประเด็นที่รัฐบาลวางแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย และผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวเกินกว่า 3% ผ่านการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ รวมทั้งหมด 46 โครงการ ตลอดทั้งปี 2568 โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2-3
โดยเงินที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น จะมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและวงเงินสินเชื่อรวมกว่า 4.53 แสนล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่อัดฉีดผ่านการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 1.15 แสนล้านบาทและการใช้วงเงินสินเชื่อและการคํ้าประกัน วงเงิน 3.38 แสนล้านบาทนั้น
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ได้ให้มุมมองกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การที่ภาครัฐอัดฉีดยาแรงใส่งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 4.5 แสนล้านบาทนั้น ก็ต้องดูว่าความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไปถึงประชาชนอย่างแท้จริงมากน้อยแค่ไหน และเห็นผลหรือไม่
ยกตัวอย่างโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท (Digital Wallet) เฟส 3 สำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี รวมทั้งหมด 2.7 ล้านคน ส่วนตัวมองว่าโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเวียนในระบบมีน้อยมาก คำถามคือสุดท้ายแล้วจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายในส่วนใดได้บ้าง ดังนั้นจึงยังมองไม่เห็นทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง
ขณะที่การนำงบประมาณมากระตุ้นด้านการท่องเที่ยว อาทิ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง และโครงการ Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year 2025 มองว่าเป็นประโยชน์มากกว่า งบประมาณลงไปถึงมือประชาชนและได้ใช้จริง อีกทั้งยังทำให้เม็ดเงินลงไปถึงมือประชาชนท้องถิ่นต่างๆ จากการท่องเที่ยว
ส่วนแนวคิดที่รัฐบาลจะรับซื้อหนี้เสียคืนจากประชาชนนั้น ในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดและข้อสรุปที่ชัดเจนของภาครัฐว่าจะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไร ซื้อหนี้ด้วยวิธีไหน ใครเป็นคนซื้อ หากว่าเปิดให้เป็นภาคเอกชนรับหน้าที่ก็ต้องมาดูที่ว่าการคิดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นอย่างไร ภาครัฐจะมีการสนับสนุนทางใดได้บ้าง ซึ่งขณะนี้ยังเป็นเพียงการเกริ่นถึงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม หากว่าภาครัฐให้การสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ก็เชื่อว่าจะช่วยให้กระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวเกินกว่า 3% ได้ ทั้งนี้ ปริมาณเงิน M2 (Money supply) ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 พบว่า ปรับตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับ 5-6 เดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงสภาพคล่องภายในประเทศที่ดีขึ้น
"มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 46 โครงการของรัฐบาลด้วยเม็ดเงิน 4.5 แสนล้านบาท อาจเข้ามาช่วยผลักดันใน GDP ไทยปี 68 นี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 3% แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือ ในแต่ละโครงการจะดันเม็ดเงินให้ถึงมือประชาชนและเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยแค่ไหน อย่างการท่องเที่ยวเชื่อว่าจะได้เห็นการออกดอก ออกผลที่ดีแน่ จากนี้ได้ก็ต้องรอดูบทสรุปว่าจะชัดเจนและทำได้มากน้อยแค่ไหน"