thansettakij
เงิน 10,000 บาท เฟส 3 ล่าสุดเช็กเงื่อนไข คลังเตรียมเสนอครม.อนุมัติ

เงิน 10,000 บาท เฟส 3 ล่าสุดเช็กเงื่อนไข คลังเตรียมเสนอครม.อนุมัติ

23 มี.ค. 2568 | 22:47 น.

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 สำหรับคนอายุ 16-20 ปี เช็กเงื่อนไขล่าสุด คลังเตรียมเสนอครม. 27 มี.ค. 68 อนุมัติงบ 2.7 หมื่นล้าน แจก 2.7 ล้านคน

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 27 มีนาคม 2567 อนุมัติโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 หรือ "เงิน 10,000 บาท เฟส 3" สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และกระตุ้นการบริโภคให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กลุ่มเป้าหมายประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯเงิน 10,000 บาท เฟส 3

เป็นผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2567 สำเร็จ ที่มีสัญชาติไทยและอายุตั้งแต่ 16-20 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ 15 ก.ย. 2567 (เกิดตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2547 ถึงวันที่ 16 ก.ย. 2551) และมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้

1. กลุ่มประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ณ วันที่ส่งข้อมูลไปตรวจสอบกับกรมการปกครอง ไม่รวมถึงทะเบียนบ้านกลาง

2. ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566

3. ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567 โดยให้หมายความถึงเฉพาะเงินฝากที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทเท่านั้น และไม่รวมถึงกรณีบัญชีเงินฝากประเภทบัญชีร่วม บัญชีเพื่อ และบัญชีโดย และผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทสลากออมทรัพย์

4. ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตามฐานข้อมูลของ พม. ณ วันที่ 30 พ.ย. 2567

5. ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่าง ผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2567

6. ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

การเข้าร่วมโครงการฯเงิน 10,000 บาท เฟส 3 ของประชาชน

1. ประชาชนทุกคนต้องยืนยันตัวตนก่อนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐในสมาร์ตโฟน

2. ประชาชนสามารถตรวจสอบผลการเข้าร่วมโครงการหรือทบทวนสิทธิผ่านทางแอปพลิเคชันทางรัฐ

3. เมื่อได้รับสิทธิแล้ว ประชาชนเปิดแอปพลิเคชันเพื่อสแกน QR Code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่ประชาชนมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน

เงื่อนไขการใช้จ่ายเงิน 10,000 บาท เฟส 3ระหว่างประชาชนกับร้านค้า

1. ประชาชนจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กภายในเขต (50 เขต) ในกรุงเทพฯ หรือภายในอำเภอ (878 อำเภอ) ในต่างจังหวัดเดียวกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของตน ทั้งนี้ ตามประเภทร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด

2. ในการใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ แต่ละครั้ง ระบบจะตรวจสอบ ดังนี้

   2.1 ที่อยู่ (เขตหรืออำเภอ) ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ

   2.2 ที่อยู่ (เขตหรืออำเภอ) ของประชาชนตามทะเบียนบ้าน ณ วันที่ส่งข้อมูลไปตรวจสอบกับกรมการปกครอง

   2.3 เขตหรืออำเภอของร้านค้าและประชาชน ต้องตรงกัน

   2.4 ประชาชนต้องเปิด Location ในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบพิกัดตำแหน่งขณะใช้จ่าย การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์

แหล่งเงินการดำเนินโครงการฯเงิน 10,000 บาท เฟส 3

ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ 15 ก.ย. 2567 (เกิดตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2547 ถึงวันที่ 16 ก.ย. 2551) จำนวนไม่เกิน 2.7 ล้านคน โดยจะใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 27,000 ล้านบาท

ระยะเวลาดำเนินโครงการฯเงิน 10,000 บาท เฟส 3

1. ระยะเวลาการใช้จ่ายของประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ

  • กำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ ภายใน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เปิดให้ใช้ระบบใช้จ่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่ง ดศ. จะต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน

2. ระยะเวลาใช้จ่ายหรือ Cash Out ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ

  • กำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายหรือ Cash Out ภายใต้โครงการฯ ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้จ่ายถึงวันที่ 30 กันยายน 2569

ทั้งนี้ สพร. ได้ตรวจสอบจำนวนผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2567 ที่มีสัญชาติไทย อายุ 16-20 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ 15 ก.ย. 2567 และไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ พบว่ามีจำนวน 2,677,679 คน

การติดตามตรวจสอบการกระทำที่ผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ

ให้มีการติดตามตรวจสอบหรือตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ (Fraud Detection) รวมทั้งการสืบสวนสอบสวนเพื่อระงับสิทธิ เพิกถอนสิทธิ เรียกเงินคืน ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ