thansettakij
“ซื้อหนี้ประชาชน” แค่ย้ายเจ้าหนี้ อนุสรณ์แนะปล่อยกลไกตลาดทำงาน

“ซื้อหนี้ประชาชน” แค่ย้ายเจ้าหนี้ อนุสรณ์แนะปล่อยกลไกตลาดทำงาน

24 มี.ค. 2568 | 03:39 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มี.ค. 2568 | 03:42 น.

นักวิชาการชี้นโยบายซื้อหนี้ประชาชนแค่บรรเทาและย้ายเจ้าหนี้เท่านั้น แนะปล่อยกลไกตลาดการเงินทำงาน ระบุหากจำเป็นถึงแทรกแซงด้วยเงินสาธารณะ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุด ไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ 89% แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงจากระดับสูงกว่า 90% โดยเฉพาะในช่วงโควิด หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเคยขึ้นไปแตะระดับ 95.5%

ขณะนี้มาอยู่ที่ 89% ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และแนวโน้มของหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาทอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นหนี้เสียมากที่สุดคิดเป็น 23.35% ของสินเชื่อรวม ต้องดึงสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลงมาจากระดับ 89% ให้มาอยู่ที่ 80% เท่ากับว่าต้องเพิ่มรายได้โดยรวมอีกอย่างน้อย 1.63 ล้านล้านบาทจึงจะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยภาพรวมได้ 

มาตรการซื้อหนี้มาบริหารต้องปล่อยให้กลไกตลาดในตลาดการเงินทำงาน รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงก็ต่อเมื่อกลไกตลาดล้มเหลว หากใช้เงินสาธารณะดูแลต้องมีกลไกและแนวทางชัดเจนในการทำอย่างไรไม่ให้เกิด Moral Hazard ในระบบการเงินและส่งเสริมวินัยทางการเงินของครัวเรือน 

สิ่งที่รัฐบาลต้องทำมากที่สุด คือ ทำอย่างไรให้ จีดีพีโตขึ้นเร็วที่สุด รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากพอที่จะชำระหนี้ได้ด้วยตัวเอง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ปฏิรูปขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายรายได้ให้เป็นธรรม เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำเป็นสิ่งที่ช่วยให้แก้ปัญหาครบทุกมิติ คือ หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ หนี้ภาคเอกชน   หนี้ครัวเรือนไทยชะลอตัวลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 อัตราสินเชื่อเติบโตต่ำลงจาก หนี้รถหดตัว สินเชื่อบ้านโตต่ำ 

แต่หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคยังขยายตัว สะท้อน ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังกู้เงินเพื่อไปเสริมสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ได้ก่อหนี้ก้อนใหญ่เพื่อซื้อทรัพย์สินแต่อย่างใด ครัวเรือนในแต่ละระดับรายได้มีความสามารถในการรับมือกับภาระหนี้แตกต่างกันไป หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาทส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียจากครัวเรือนรายได้น้อย

จากข้อมูลล่าสุด พบว่า เงินให้กู้ยืมคงค้างภาคเอกชนของสถาบันรับฝากลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 สะท้อนสถาบันการเงินเอกชนและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงทำให้ครัวเรือน และเอกชนจำนวนไม่น้อยที่มีความเสี่ยงสูงและฐานะการเงินอ่อนแอไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ 

และอยู่ในภาวะขาดสภาพคล่อง การใช้มาตรการระดับจุลภาคไล่แก้ไปทีละราย ทีละจุด ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเพียงพอ ต้องใช้นโยบายมหภาคที่มีผลในวงกว้าง เช่น ลดดอกเบี้ย ผ่อนคลายเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อ การบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ชาวไทยมีหนี้ครัวเรือนบวกหนี้สาธารณะเฉลี่ยมากกว่า 400,000 บาทต่อคน แก้หนี้ต้องกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สร้างโอกาสทำงานรายได้สูง ซื้อหนี้เพียงบรรเทาและย้ายเจ้าหนี้เท่านั้นควรปล่อยกลไกตลาดการเงินทำงาน หากจำเป็นถึงแทรกแซงโดยเงินสาธารณะและต้องมุ่งไปที่กลุ่มคนรายได้น้อยสุดที่อยู่ในกับดักของหนี้สินอาจต้องใช้วิธีลดหนี้หรือยกเลิกหนี้ให้ รัฐบาลอาจใช้มาตรการลดหย่อนภาษีเป็นแรงจูงใจให้กลไกตลาดในตลาดซื้อขายหนี้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนจำนวนหนึ่งได้ถูกแปลงเป็นหนี้สาธารณะผ่านมาตรการเศรษฐกิจต่างๆรวมทั้งการแจกเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมาตรการเศรษฐกิจต่างๆและมาตรการการแจกเงิน รัฐบาลต้องไปก่อหนี้สาธารณะกู้เงินมา การดำเนินงานเหล่านี้เป็นผลทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 90% และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจจะแตะระดับ 70% ในปี พ.ศ. 2572 ขณะนี้อยู่ที่ 64.13%