นักวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ทางกระทรวงการคลัง เดินหน้ามาตรการแก้หนี้ NPL ช่วยรายย่อยหนี้บัตรเครดิต-บริโภควงเงินรวม 4 แสนล้าน พ้นสถานะหนี้เสียเครดิตบูโร โดยจุดมุ่งหมายที่รัฐบาลอยากเห็นคือ ให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
โดยเฉพาะส่วนที่เป็น NPL มูลค่า 1.22 ล้านบาท ซึ่งหากส่วนนี้คลี่คลายก็จะช่วยให้กลุ่มนี้กลับมายืนได้ โดยรัฐบาลจะช่วยให้ กลุ่มนี้ได้ปลดออกจากประวัติหนี้เสียในเครดิตบูโร (NCB) ด้วย ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งหมดคงไม่เสร็จภายใน 3-6 เดือน แต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างเหมาะสมต่อไป และวางกรอบการทำงานในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
ทางฝ่ายมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อกลุ่มธนาคาร โดยหากเกิดขึ้นจริง ระยะสั้นจะช่วยเลื่อน NPL ออกไป และจะทำให้ Credit cost มีโอกาสลดลงได้ แต่อาจจะใช้เวลานานราว 1-2 ปีในการเกิดขึ้นจริง โดยหุ้นที่มีสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลจากมากไปน้อย คือ KTB (26%), KBANK (9%), TTB (7%) และ SCB (5%)
สำหรับกลุ่มธนาคาร ทางฝ่ายยังคงให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท), TTB (แนะนำะซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.22 บาท) และ BBL (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 186.00 บาท) เป็น Top pick ของทางฝ่าย
บล.บัวหลวง ระบุว่า วิเคราะห์เกี่ยวกับโครงการซื้อหนี้เสียของผู้บริโภคที่รัฐบาลเพิ่งเสนอขึ้นมา ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มบริหารสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นแรง นำโดย JMT ปรับเพิ่มขึ้น 7% และ BAM ปรับเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าตลาดตอบรับเชิงบวกต่อโครงการนี้มากเกินไป
เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เว้นแต่จะมีการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาล ทั้งนี้ หากรัฐบาลสนับสนุนทางการเงินต่อโครงการนี้ ประเมินว่ามีโอกาสที่ 2 กรณีจะเกิดขึ้นได้ ได้แก่
ในแง่ของ Fundamental view นั้น หากโครงการซื้อหนี้จากธนาคารเกิดขึ้นจริง ก็มองว่าจะส่งผลบวกต่อกลุ่มธนาคาร ทำให้มีช่องทางให้ระบายหนี้เสียมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น และกลุ่มบริหารสินทรัพย์ ก็จะมีหนี้เสียให้บริหารมากขึ้น ในระยะกลางถึงยาว