thansettakij
คุณสมบัติ หัวกะทิทำงานไทย ได้สิทธิจ่ายภาษีบุคคลธรรมดา คงที่ 17%

คุณสมบัติ หัวกะทิทำงานไทย ได้สิทธิจ่ายภาษีบุคคลธรรมดา คงที่ 17%

25 มี.ค. 2568 | 05:51 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มี.ค. 2568 | 05:55 น.

ตรวจสอบคุณสมบัติ คนไทยระดับหัวกะทิ ต้องการกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย และได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี โดยได้สิทธิจ่ายภาษีบุคคลธรรมดา คงที่ 17% เช็ครายละเอียดที่นี่

กรณีเว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 793) พ.ศ.2568 โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาในงานในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษทางด้านภาษี

โดยมาตรการนี้ กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย และคงจัดเก็บในอัตรา 17% ของเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572

ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา คือวันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

ความจำเป็นของการออกมาตรการภาษี

การประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 793) พ.ศ.2568 แจ้งเหตุผลว่า รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการภาษีเพื่อดึงดูดให้ผู้มีทักษะที่เคยทำงานในต่างประเทศกลับเข้ามาทำงานในประเทศ 

ด้วยเหตุนี้จึงสมควรลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่เคยทำงานในต่างประเทศ และเดินทางเข้ามาทำงานในกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งจ้างงานบุคคลดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572

คุณสมบัติผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

สำหรับคุณสมบัติของคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาในงานในประเทศ ภายใต้พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 793) พ.ศ.2568 กำหนดรายละเอียดต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข 7 ข้อ ดังต่อไปนี้

1.มีสัญชาติไทย

2.มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี

3.มีประสบการณ์การทำงานในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยไม่น้อยกว่าสองปี

4.เป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำงานให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลดังกล่าว ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และมีกำหนดเวลาเริ่มต้นทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 

ทั้งนี้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้แจ้งการจ้างลูกจ้าง ดังกล่าวตามแบบที่อธิบดีกำหนดต่อกรมสรรพากรก่อนจ่ายเงินได้ให้ลูกจ้างครั้งแรกของการจ้างแรงงาน โดยผู้มีเงินได้ดังกล่าวจะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่กรมสรรพากร ได้รับแจ้งจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น

5.ไม่เคยทำงานในประเทศไทยในปีภาษีที่ได้เริ่มต้นใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกานี้ และไม่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคสาม ในสองปีภาษีก่อนหน้าปีภาษี ที่ได้เริ่มต้นใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้

6.เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษี ที่ใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ปีภาษีที่เริ่มต้นใช้สิทธิหรือปีภาษีสุดท้าย ที่ใช้สิทธิดังกล่าวอาจไม่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยเช่นว่านั้นก็ได้ 

7.มีคุณสมบัติและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

สาขาความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย

สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะมีขอบเขตครอบคลุมไปถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย/อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ตามกฎหมาย ดังนี้

  • พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
  • พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560
  • พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561