ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 68 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ โดยจะขึ้นภาษีนำเข้าขั้นต่ำจากทุกประเทศ 10% (Universal Tariffs) กับสินค้าทุกประเภท เริ่มมีผล 5 เม.ย. 68
พร้อมประกาศขึ้นภาษีเพิ่มเติม (Reciprocal Tariffs) กับ 60 ประเทศ/กลุ่มเศรษฐกิจที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูง เริ่มมีผล 9 เม.ย. 68 ในอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ขึ้นกับขนาดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศนั้น โดยเก็บเพิ่มอัตราสูงสุดที่ 50%
Reciprocal Tariffs ที่ประกาศกับประเทศต่างๆ คำนวณจากสูตรนี้ ซึ่งถูกนำมาใช้วัดความเสียเปรียบของสหรัฐฯ จากการถูกกีดกันการค้าทุกรูปแบบ ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีผลทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงของสหรัฐฯ (Effective Tariff Rate) เพิ่มขึ้นมากถึง 18 – 22% (เทียบประมาณการเดิมของ SCB EIC ที่ 11.3%) SCB EIC มองว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกมากขึ้นอีก
ในการขึ้นภาษีชุดใหญ่ของสหรัฐฯ รอบนี้ สหรัฐฯ เก็บภาษีประเทศในเอเชียสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก หากรวมReciprocal Tariffs, Universal Tariffs และภาษีเฉพาะเจาะจง (Specific Tariffs) รายประเทศที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% ติดต่อกัน 2 ครั้ง รวมเป็น 20% ในช่วงต้นปีนี้
ทั้งนี้ จะพบว่า สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าประเทศเอเชียเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากถึง 21% (ค่าเฉลี่ยโลก 16%) สาเหตุหลักเพราะประเทศเอเชียส่วนใหญ่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ มาก โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ซึ่งเฉลี่ยแล้วโดนสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีมากถึง 33%
ดังนั้นประเทศเอเชียจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ สูงกว่า สำหรับเม็กซิโกและแคนาดา แม้จัดว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเพราะพึ่งพาสหรัฐฯ สูงและถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีเฉพาะเจาะจงเอาไว้สูงถึง 25% ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะสินค้าส่วนมากยังอยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA ซึ่งยังได้รับการยกเว้นภาษีนี้อยู่
สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีประเทศในทวีปเอเชียสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยหากพิจารณาทั้ง Reciprocal Tariffs และ Universal Tariffs ด้วยแล้ว พบว่า สหรัฐฯ ได้ตั้งกำแพงภาษีกับประเทศในเอเชียเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากถึง 21% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 16% เนื่องจากอัตรากำแพงภาษีตอบโต้ครั้งนี้ของสหรัฐฯ นั้นคำนวณมาจากการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ซึ่งสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับประเทศในทวีปเอเชียอยู่มาก
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสำหรับไทยในเกณฑ์สูงอยู่ที่ 36% ติดอันดับ 20 จาก 185* เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย รองจากประเทศกลุ่ม CLMV ศรีลังกา อิรัก และ บังกลาเทศ (รูปที่ 1) อีกทั้งเกณฑ์ภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กับไทยยังมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก ค่าเฉลี่ยเอเชีย และค่าเฉลี่ยอาเซียน (รูปที่ 1 ซ้าย) เนื่องจากสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยสูง (รูปที่ 1 ขวา) โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ของไทย
สหรัฐฯ ประเมินว่าการขาดดุลการค้ากับไทยที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้เป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น ไทยตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงเฉลี่ย 9.8% ขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยเพียง 3.3% โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งไทยเก็บอัตราภาษีสหรัฐฯ เฉลี่ยสูงถึง 27% รวมถึงไทยยังใช้มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยเฉพาะสินค้าเกษตร นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังคำนึงถึงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มาตรการกีดกันการค้าในภาคบริการ สิทธิเสรีภาพของแรงงานอีกด้วย
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบสูงจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0 ทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการส่งออก สาเหตุจาก
1. ผลกระทบทางตรง: ส่งออกไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18%
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ในปี 2024 เพิ่มขึ้นมากจาก 12.7% ในปี 2019 หากเทียบกับประเทศในโลกที่มี GDP ใหญ่สุด 30 อันดับแรกและกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า ไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ค่อนข้างสูงกว่าอยู่ที่ราว 10% ขณะที่ไทยเองก็โดน Reciprocal rate ในอัตราสูงกว่าด้วยเช่นกัน (รูปที่ 2) ไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงผ่าน 2 ช่องทาง คือ
หากดูผลกระทบรายหมวดสินค้าส่งออก พบว่า กว่า 8 ใน 10 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบมาก เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (8.2% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด) พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 42.9% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ทั้งหมด หรือผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 31.6% และ 58.5% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนั้นๆ ทั้งหมด ตามลำดับ (รูปที่ 3)
2. ผลกระทบทางอ้อม: ส่งออกไทยกระจุกตัวในประเทศที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูง
นอกจากไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงแล้ว ไทยยังส่งออกไปยังตลาดจีน อาเซียน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปในสัดส่วนที่สูงเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงอยู่ที่ 54% 33% 24% 20% ตามลำดับ เทียบกับกำแพงภาษีที่สหรัฐ เก็บทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16%
ดังนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทยกลุ่มนี้ จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อความต้องการสินค้าส่งออกไทยผ่านหลายช่องทาง คือ
3. ผลกระทบทางอ้อม: ภาวะ Wait & See ของการลงทุนในไทยจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ
ทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนจากจีนส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกสินค้าไปขายตลาดสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการกีดกันสินค้าส่งออกจากจีนโดยตรง รวมถึงการลงทุนในประเทศที่อาจ Wait & See โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ที่อาจรอดูความชัดเจนของการเจรจาการค้าของรัฐบาลไทยเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีครั้งนี้
SCB EIC ประเมินอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ไทยและประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ทั่วโลกต้องเผชิญจะมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ทำเนียบขาวประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2025 โดยในประกาศของทำเนียบขาวระบุชัดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์อาจลดภาษีตอบโต้ให้ได้ หากประเทศนั้นๆ สามารถแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นได้
ยกตัวอย่างเช่น พยายามลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษี Reciprocal Tariffs ได้บ้าง สำหรับประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ดี การเจรจาขอลด Universal Tariffs และ Specific Tariffs รายสินค้าจะดำเนินการได้ยากกว่า เพราะวัตถุประสงค์ของสหรัฐ ต้องการประกาศเป็นอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่มขั้นต่ำ และเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศบางประเภทโดยเฉพาะ
แม้อัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจริงกับประเทศไทยอาจลดลงหลังการต่อรองลดผลกระทบไม่ให้รุนแรงมาก SCB EIC ประเมินว่า การประกาศสงครามการค้าของสหรัฐฯ ครั้งนี้จะเป็นความเสี่ยงด้านต่ำสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะส่งผลกดดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.4% อย่างมีนัยสำคัญ
ประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญเร่งเจรจาลดผลกระทบครั้งนี้ โดยอาจเน้นจาก 3 ประเด็นหลักของไทย ซึ่งสะท้อนได้จากรายงานอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศของ United States Trade Representative (USTR) เผยแพร่เดือน มีนาคม 2025 ได้แก่
อย่างไรก็ดี การเจรจาต้องคำนึงถึงประโยชน์โดยรวมของประเทศอย่างสมดุล โดยนอกเหนือจากประเด็นจาก USTR ที่ระบุไว้ ไทยควรคำนึงถึงกลไกเพื่อดูแลผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ประกอบการในภาคส่วนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา ทั้งการเตรียมตัวรับมือต่อการไหลเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายด้านคุณภาพสินค้า แนวทางป้องกันการทุ่มตลาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
รวมทั้งพิจารณาขยายความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเพื่อขยายตลาดและโอกาสการค้า การลงทุนและสร้างห่วงโซ่การผลิตใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม SCB EIC จะติดตามแผนการรับมือของรัฐบาลไทย ท่าทีของสหรัฐฯ และมาตรการตอบสนองของประเทศต่างๆ หลังสหรัฐฯ ประกาศอิสรภาพจากความไม่เป็นธรรมทางการค้าครั้งใหญ่รอบนี้ เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยละเอียดต่อไป