Mr. Vikram Kumar, New Business Manager, Infrastructure & Natural Resources – Asia Pacific, International Finance Corporation – World Bank(IFC) เผยในเวที “The Future Energy Show Thailand 2019” ถึงเรื่องพลังงานหมุนเวียนว่าหากมองเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คิดว่ามีความท้าทายไม่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทวีปอื่นๆในโลก ซึ่งที่ผ่านมา IFC ได้สนับสนุน ไทย เมียนมา ลาว กัมพูชาและประเทศอื่นๆ ซึ่งมีพลังงานแสงอาทิตย์มากมายในประเทศเหล่านี้เช่นกัน โดยมองว่านโยบายจากรัฐบาลก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เผชิญ สิ่งหนึ่งที่ IFC อยากให้ความสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้า คือ การจัดเก็บพลังงาน หรือ “Energy Storage” ในประชาคมอาเซียน
ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)(SPCG) ร่วมให้ความเห็นภายใต้หัวข้อ “Financing renewable energy in Thailand & Asia” ว่าเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2553 รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน รวมทั้งเปิดโอกาสให้เอกชนได้เข้ามาลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกประเภท ตนจึงได้คิดค้น Business Model ขึ้น โดยในช่วงเริ่มต้นของการบุกเบิกและการพัฒนาธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เคยประสบปัญหา ในเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและสถาบันการเงิน
เนื่องจากเป็นโครงการที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อน ทำให้สถาบันการเงินไม่มีข้อมูลด้านความเสี่ยง จนกระทั่ง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสถาบันการเงินที่ช่วยสนับสนุนทางด้านการเงินอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 60:40 โดยเริ่มการลงทุนจากโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกที่โคราช คือ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (โคราช 1) จำกัด (KR1) เริ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และส่งเข้าระบบจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยได้ใช้ระยะเวลาในประเมิน 6 เดือนก่อนเริ่มพัฒนาโครงการที่ 2 อย่างไรก็ตาม ภายใน 3 เดือนแรก การผลิตไฟฟ้าดีกว่าเป้าหมายกว่า 30 % ทำให้ธนาคารเห็นโอกาสที่จะช่วยบริษัทพัฒนาโครงการที่เหลือที่ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 24,000 ล้านบาท จนท้ายที่สุด บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก International Finance Corporation: IFC ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือของธนาคารโลก (World Bank Group) มาร่วมทุนในโครงการพัฒนาโซลาร์ฟาร์มที่เหลือและร่วมให้การสนับสนุนด้านการเงิน รวมทั้งนำเงินกู้ Climate Technology Fund มาร่วมให้กู้กับสถาบันการเงินอื่นๆอีก 6 แห่ง มีธนาคารกสิกรไทยเป็นคนช่วยจัดการ ทำให้สามารถพัฒนาโครงการต่อเนื่องได้ครบ 36 โครงการ จนประสบความสำเร็จในปี 2557
“การจัดหาเงินทุน หรือการให้การสนับสนุนด้านการเงิน เป็นส่วนสำคัญของการประสบความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่แค่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แต่รวมไปถึงธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทุกประเภท” ดร.วันดีกล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน B.Grimm กล่าวว่า B.Grimm มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นธุรกิจพลังงานสีเขียวและพลังงานสะอาดเสมอ โดยได้ตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 5,000 เมกะวัตต์ ภายใน 2 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งตอนนี้ B. Grimm ได้ขยายการลงทุนไปสู่ประเทศใกล้เคียงที่รัฐบาลมีนโยบายที่สนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อย่างเช่นประเทศเวียดนาม เป็นต้น ซึ่งการจัดหาเงินทุนและนโยบายภาครัฐของแต่ละประเทศเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการสนับสนุนเงินทุนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจด้าน ESG
Mr.Michael Boardman, Group CFO, Sindicatum Sustainable Resources กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหลายๆสายการบินพูดถึงเรื่องคาร์บอนเครดิต แสดงให้เห็นว่าผู้คนให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศมากแค่ไหน แต่ปัจจุบัน ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) หรือ ตราสารหนี้ที่ออกเพื่อระดมทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คิดเป็นเพียง 1% ของตลาดโลกปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งในอนาคตยัง
ต้องการระบบหรือกระบวนการบางอย่างที่จะเข้ามาช่วยเหลือในส่วนดังกล่าว
ส่วน Mr.Sujay Shah, Managing Director-Investment Banking, Head-Cleantech Coverage, Standard Chartered Bank กล่าวว่า ส่วนของธนาคารกำลังมองหาวิธีให้การสนับสนุนด้านการเงิน ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเช่นกัน ขนาดเฉลี่ยของโครงการที่เคยดูแลมีขนาดประมาณ 20-25 เมกะวัตต์ ซึ่งมองว่าความยากง่ายของการหาเงินทุนขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ อีกทั้งเศรษฐกิจต้องมีความโปร่งใส และให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการต่อต้านทุจริต
Mr. Jerome Ferreria, Senior Investment Specialist, Credit Guarantee and Investment Facility กล่าวว่า CGIF รับประกันความสำเร็จของงานก่อสร้าง ระหว่างการก่อสร้าง และหลังการดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) หากขั้นตอนการก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ CGIF จะคืนเงินให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ทั้งหมดที่เป็นเจ้าของ บริษัท โครงการ นักลงทุน จึงมั่นใจได้ว่าความเสี่ยงด้านการก่อสร้างนั้นได้รับการประเมินและครอบคลุมอย่างดี ซึ่ง CGIF มีความพร้อมเป็นอย่างมากในส่วนของการเป็นแหล่งเงินทุนใหม่