thansettakij
รัฐบาลดัน FTA 4 ฉบับ บังคับใช้ปี 2568 เช็คความสำคัญรุกตลาดการค้าใหม่

รัฐบาลดัน FTA 4 ฉบับ บังคับใช้ปี 2568 เช็คความสำคัญรุกตลาดการค้าใหม่

04 มี.ค. 2568 | 07:15 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มี.ค. 2568 | 09:17 น.

รัฐบาลไทยเร่งเดินหน้าเจรจา FTA เพิ่มโอกาสขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ดัน FTA 4 ฉบับ ไทย-EFTA ไทย-ศรีลังการ ไทย-ภูฏาน ไทย-EU เร่งปิดและบังคับปี 68

รัฐบาลไทยเร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี Free Trade Area หรือ FTA เป็นการทำความตกลงทางการค้าของประเทศ อาจเป็น 2 ประเทศ (ทวิภาคี) หรือเป็นกลุ่มประเทศ (พหุภาคี) เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน สร้างความร่วมมือและความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม ปัจจุบันประเทศไทยมี FTA อยู่ทั้งหมด 16 ฉบับ รวม 23 ประเทศ โดยแบ่งออกเป็นระดับทวิภาคี 7 ฉบับ และระดับภูมิภาค 9 ฉบับ

โดยในปี 2568 คาดว่าจะมี FTA เพิ่มอีก 3 ฉบับ ได้แก่ ไทย-ศรีลังกา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ ไทย-ภูฏาน ซึ่งได้เจรจาสำเร็จแล้วเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2568 และคาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน 2568 ไทย-EFTA คาดว่ามีผลบังคับใช้ในปี 2569 นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนเร่งปิดดีล FTA ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 อีก 1 ฉบับคือ ไทย-EU และหลังจากมีผลบังคับใช้ประเทศไทยจะได้รับผลประโยชน์จาก FTA แต่ละฉบับยังไงบ้าง มีรายละเอียดดังนี้

FTA ไทย-EFTA

เป็นฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ โดยมีการลงนามช่วงวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะมีเปิดรับความฟังคิดเห็นของประชาชนตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม – 3 พฤษภาคม 2568 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและนำไปประกอบเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

ประเด็นสำคัญในความตกลง FTA ไทย – EFTA มีทั้งหมด 15 หัวข้อ ประกอบด้วย การค้าสินค้า, กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า, การอำนวยความสะดวกทางการค้า, มาตรการเยียวยาทางการค้า, มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช, มาตรการอุปสรรคเทคนิคต่อการค้า, การค้าบริการ, การลงทุน, ทรัพย์สินทางปัญญา, การแข่งขัน, การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ, การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน (ครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อมและแรงงาน), ความร่วมมือด้านเทคนิคและการเสริมสร้างศักยภาพ, ประเด็นกฎหมายและการระงับข้อพิพาท, วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs)

สหภาพยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในประชาคมโลก มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อีกทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 ของไทย โดยในปี 2567 ไทยกับเอฟตามีมูลค่าการค้ารวม 11,467.03 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.06 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.94% โดยไทยส่งออกไปเอฟตา 4,121.84 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากเอฟตา 7,345.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องสำอาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ข้าว

สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม ยากำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป เคมีภัณฑ์

FTA ไทย-ศรีลังกา

เป็นการเปิดตลาดการค้าสินค้าทั้งสองฝ่ายที่เท่าเทียมกันกว่า 85% ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมด มีระยะเวลาในการลดหรือยกเว้นอากรในเวลา 16 ปี นับจากความตกลงมีผลบังคับใช้ นอกจากนั้น ศรีลังกายังเปิดให้ไทยเข้าไปถือหุ้นในสาขาบริการได้ถึง 100% ใน 50 สาขาย่อย อาทิ บริการโรงแรมและร้านอาหาร บริการขนส่งทางทะเล บริการนายหน้าและตัวแทนประกันภัย บริการแฟรนไชส์บริการโทรคมนาคม บริการสิ่งแวดล้อม บริการโฆษณา และบริการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ส่วนภาคการลงทุน 

รวมถึงให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนโดยถือหุ้นได้ 100% ใน 35 สาขา อาทิ การแปรรูปอาหาร (ผลไม้ ผัก ถั่ว มั่นฝรั่ง) การผลิตสิ่งทอ (ยกเว้นทอผ้าด้วยมือ) การผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การผลิตยาและเวชภัณฑ์ การผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และทันตกรรม

นอกจากนั้นสินค้าที่ศรีลังกาจะยกเว้นอากรให้ทันที 50% ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมด หรือกว่า 4,000 รายการ อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปุ๋ย หนังเทียม เคมีภัณฑ์ เยื่อกระดาษและกระดาษคราฟท์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ปลาซาดีน ปลาแซลมอนกระป๋อง อาหารสัตว์ กุ้งแช่เย็น โคกระบือมีชีวิต และเครื่องเงิน  ซึ่ง FTA ฉบับนี้มีการลงนามไปตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 กรุงโคลัมโบ และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้

FTA ไทย-ภูฏาน

โดยคาดว่าจะมีการลงนามภายในเดือนเมษายน 2568 โดย FTA ฉบับนี้จะครอบคลุมประเด็นการค้าสินค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งจะมีการเปิดตลาดระหว่างกันในระดับสูงครอบคลุมมูลค่าระหว่างกันเกือบทั้งหมด โดยสินค้าที่ภูฏานสนใจจะนำเข้าจากไทย อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน สินค้าเกษตรและอาหาร (ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ เส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารปรุงแต่ง) สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า 

นอกจากนี้ FTA ไทย-ภูฏาน ยังเป็นกลไกช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจและมีศักยภาพร่วมกัน อาทิ การท่องเที่ยว เกษตร การศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา และพลังงานหมุนเวียน

สำหรับปี 2567 การค้าระหว่างไทยและภูฏานมีมูลค่า 460.47 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปภูฏาน 457 ล้านบาท และนำเข้าจากภูฏาน 3.47 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป 

สินค้านำเข้าสำคัญของไทย อาทิ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักและผลไม้ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา

FTA ไทย-EU

ถือเป็นฉบับสำคัญที่ต้องเร่งเจรจาเนื่องจาก EU เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 27 ประเทศ มีกำลังซื้อสูง และมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลก จากการเจรจารอบล่าสุดสามารถสรุปผลไปได้แล้วสองบท ได้แก่ บทว่าด้วยแนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ (Good Regulatory Practices) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ และบทความโปร่งใส (Transparency) ที่มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกฎหมาย กฎระเบียบ และกระบวนการต่างๆ

นอกจากนี้ยังหารือยถึงประเด็น การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะการสนับสนุนการศึกษาอาชีวะ เพื่อให้ไทยมีความพร้อมในการรับการลงทุนสมัยใหม่ การแลกเปลี่ยนความรู้และการสนับสนุนทางเทคนิคในด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในการดำเนินการที่สอดคล้องกับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ตลอดจนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) 

ทั้งนี้ ในปี 2567 EU เป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวมกันประมาณ 43,533 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 7.17% ของการค้าไทยในตลาดโลก ซึ่งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจาก FTA ฉบับนี้ นอกเหนือจากการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับ EU แล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากไทยไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จาก EU ตั้งแต่ปี 2558

ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ยังคงได้รับสิทธินี้ และเวียดนามรวมถึงสิงคโปร์มี FTA กับ EU แล้ว นอกจากนี้ ยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและกระตุ้นให้ไทยพัฒนามาตรฐานด้านกฎระเบียบภายในประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล