นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยในงานสัมมนาปิดโครงการสนับสนุนการพัฒนามาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีความท้าทายของภาคการขนส่ง (TRANSfer III–Facilitating the Development of Ambitious Mitigation Actions) ว่า ตามที่สนข. และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันศึกษาวิธีแก้ไขปัญหาการขนส่งที่มีความท้าทาย ทั้งการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ โดยมีกรอบระยะเวลาในการศึกษา 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2560-2565
ทั้งนี้ในความร่วมมือดังกล่าว GIZ ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของมาตรการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนในเขตพื้นที่การจราจรหนาแน่นในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ที่มีความหนาแน่น พร้อมทั้งช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ได้ 3-36% รวมถึงลดก๊าซเรือนกระจก และผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
นายปัญญา กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการดังกล่าว ได้มีการดำเนินการในต่างประเทศในการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน อาทิ สิงคโปร์ และกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งหลังจากนี้ GIZ จะต้องสรุปผลส่งมายัง สนข. ก่อนที่ สนข. จะต้องนำผลการศึกษาดังกล่าวมาพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะประโยชน์ข้อดีข้อเสีย รวมถึงผลกระทบของประชาชน เนื่องจากมีการเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม สนข. จะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก่อนที่จะเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมภายในปี 2565
นายปัญญา กล่าวว่า ส่วนจะนำมาตรการดังกล่าว มาใช้ในประเทศไทยเมื่อไหร่นั้น ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจากต้องพิจารณาถึงความพร้อมของระบบขนส่งสาธารณะ เช่น โครงข่ายรถไฟฟ้าใน กทม. และปริมณฑล รวมทั้งระบบฟีดเดอร์ต่างๆ อาทิ รถโดยสารประจำทาง และระบบตั๋วร่วมที่ต้องมีความสมบูรณ์ ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลา ยกตัวอย่างเช่น กรุงลอนดอน ได้มีการศึกษาเรื่องดังกล่าว มาตั้งแต่ปี 2503 แต่ใช้เวลากว่า 30 ปีถึงจะนำมาใช้จริง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแล้วว่า ไม่เหมาะสมและกระทบกับประชาชน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่นำมาตรการดังกล่าวมาใช้
นายปัญญา กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันการศึกษามาตรการดังกล่าว ทาง GIZ ได้มีการจำลองพื้นที่นำร่องที่จะจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน โดยใช้แนวเส้นทางโครงการรถรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมาเป็นตัวกำหนดหากจะเข้าพื้นที่ใจกลางเมือง เช่น พื้นที่ย่านอนุสาวรีย์ชัย, ปทุมวัน, จตุจักร เป็นต้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการเดินทางหนาแน่น ทั้งนี้จากการศึกษาในประเทศไทยถึงมาตรการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน คาดว่าจะช่วยลดจราจรติดขัดได้ 20% นอกจากนี้ ช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ได้ 3-36% รวมทั้งลดก๊าซเรือนกระจก 100,000-600,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ถนนนั้น เบื้องต้นมีการจำลองค่าธรรมเนียมสำหรับรถทุกประเภทในราคา 60 บาทต่อเที่ยวต่อคันโดยคิดจากพื้นฐานของการจัดเก็บค่าทางด่วน ส่วนรูปแบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียม จะประยุกต์ใช้จากระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม่กั้น หรือ M-Flow คือ รถเข้าใช้ก่อน แล้วจ่ายทีหลัง เหมือนกับประเทศสิงคโปร์
นอกจากนี้หากมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน จะมีแนวทางการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะ โดยผู้ที่มาบริหารจัดการต้องมาจากหน่วยงานกลาง เพื่อนำเงินที่จัดเก็บได้ มาปรับปรุงการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงใช้ขับเคลื่อนและพัฒนาระบบริการขนส่งสาธารณะต่างๆ เช่น การทำจุดจอดรถ เพื่อให้ผู้ที่จ่ายเงินได้ใช้ประโยชน์ ช่วยแก้ปัญหาการจราจรและสิ่งแวดล้อมด้วย
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคมได้กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 31 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (NDC) ภายในปี 2573 และหากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประเทศไทยจะสามารถยกระดับเป้าหมาย NDC ขึ้นเป็น 40%
นอกจากนี้ จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero greenhouse gas emission) ภายในหรือก่อนหน้า ปี 2608 ตามที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงไว้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร