บิ๊กผาแดง ลุ้นผลงานไตรมาส 2 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อานิสงส์ราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 64% จากปี 2559 ชี้ราคาทรงตัวในระดับสูง หนุนบริษัทเติบโตก้าวกระโดดใน 1-2 ปีจากนี้
นายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (PDI) เปิดเผยว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 2560 ของ PDI ทั้งรายได้และกำไรมีโอกาสทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับอานิสงส์จากราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้เริ่มขยับมาอย่างเด่นชัดตั้งแต่ต้นปี 2559 จากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1,676 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2560 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2,754 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน คิดเป็นอัตราการขยับเพิ่มขึ้นถึง 64% ทั้งนี้ ราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากปริมาณความต้องการในภาพรวมของโลกที่มีสูง ขณะที่สต็อกโลหะสังกะสีในตลาดโลกที่คลังสินค้า (LME) อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
ทั้งนี้ ปัจจุบันผาแดงฯ มีสินค้าในสต็อกจำนวนกว่า 15,000 ตัน สามารถจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าได้เพียงพอตามที่ต้องการ และแม้ว่าในอนาคตบริษัทจะหยุดการผลิตโลหะสังกะสี แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพราะสินค้าในสต๊อกยังมีอยู่และสามารถทยอยขาย เนื่องจากราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
"การทรงตัวในระดับสูงของราคาสังกะสี จะส่งผลบวกอย่างเด่นชัดต่อผลประกอบการของ ผาแดงฯ ทั้งรายได้และกำไรที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไปใน 1-2 ปีจากนี้ โดยเห็นภาพที่เด่นชัดได้จากกำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ที่ทำได้มากถึง 312 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสแรกปีก่อนมากถึง 940% และปัจจุบันราคาโลหะสังกะสีก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งบทวิเคราะห์จากต่างประเทศประมาณการณ์ว่าราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกสิ้นปีนี้ จะยืนเหนือระดับ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และในปีหน้าจะไต่ระดับขึ้นไปได้อีก โดยคาดว่าราคาจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งนี้ ในอดีตราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกเคยปรับตัวสูงเหนือระดับราคา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันมาแล้ว"นายสดวุธ กล่าว
นายสดาวุธ กล่าวต่อว่า ผาแดงฯ ได้มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจโดยดำเนินการตามแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 ได้เข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตยแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2.27 เมกะวัตต์ โดยลงทุนผ่านบริษัทย่อย พีดีไอ เอ็นเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วและผลการดำเนินการที่เกิดขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ และมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แห่งที่สองจำนวน 10.73 เมกะวัตต์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาสที่ 3/2560
นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 1 แห่งขนาด 6.3 เมกะวัตต์ในจังหวัดตาก ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2556 เป็นการลงทุนผ่านบริษัทย่อยอีกเช่นกัน ทางผู้บริหารยังคงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทฯในอนาคต ประกอบกับ บริษัทฯยังมีเงินเพื่อการลงทุนเหลืออยู่จำนวนมาก พร้อมลงทุนอีก 2,000 – 3,000 ล้านบาท ได้อย่างสบาย