หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ได้จัดสัมมนา “เจาะลึกแผนพีดีพี ทิศทางพลังงานไทยภายใต้รัฐบาลใหม่” เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจาก 3 วิทยากร คือ นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด(มหาชน) (บมจ.)หรือ BCPG, นายชัชพล ประสพโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) และนางสาวออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในเสวนา “หุ้นพลังงานจะไปต่อหรือย่อตัว” ดังนี้
BCPG เล็งขยายลงทุนเพิ่มในปท.ภูมิภาค
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG กล่าวว่า BCPG มีการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เน้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นหลัก โดยธุรกิจไฟฟ้าจากโซลาร์เซลมีการลงทุนในไทยและในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทยและในฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพลงในอินโดนีเซีย นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างดูลู่ทางลงทุนในเวียดนาม และสปป.ลาวเพื่อผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้เวียดนามซึ่งมองว่ามีความเป็นไปได้
“อย่างในประเทศเวียดนามก็มองว่ามีโอกาส เพราะประเทศเขากำลังขยายตัวมาก มีความต้องการไฟฟ้า ความร่วมมือของเรากับลาวที่เป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชีย ลาวผลิตไฟได้ขายเข้าเมืองไทยแล้ว ทำไมไม่ลองขายไปเวียดนามบ้าง โดย BCPG มีการพัฒนาอะไรหลายๆ อย่างที่กำลังจะเป็นรูปธรรม”
ปัจจุบัน BCPG ในเครือบางจากทำธุรกิจไฟฟ้าในแคมเปญที่เรียกว่า “Energy for Everyone” โดยในประเทศมีโครงการนำร่องแลกเปลี่ยน ไฟฟ้าสะอาดผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ร่วมกับโครงการของบมจ.แสนสิริ ที่อ่อนนุช หมู่บ้านขนาดใหญ่มีคนอาศัยประมาณ 4,000 คน มีการติดตั้งแผงโซลาร์ บ้านพัก คอนโดมิเนียม โรงเรียน โรงพยาบาลและคอมมิวนิตีมอลล์ภายในโครงการ ซึ่งต่อไปจะเป็นโมเดลที่ประชาชนจะเป็นทั้งผู้ใช้ไฟฟ้า ผู้ผลิตไฟฟ้าขายให้กับเพื่อนบ้าน หรือหากมีไฟเหลือก็สามารถจำหน่ายเข้าระบบไฟฟ้าของรัฐได้ และมี Energy Storage ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านที่จะเป็นตัวบริหารจัดการพลังงานทั้งหมด และในอนาคตแบตเตอรี่อาจมาตัดปิดประกอบกับโซลาร์ฟาร์มทำให้เกิดความเสถียรของโรงไฟฟ้า
“แผนพีดีพี ส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องซัพพลายไซด์ แต่ผมอยากแชร์ในเรื่องการจะทำอย่างไรให้เกิดใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเข้าถึงพลังงาน เพราะตารางแผนพีดีพี เรื่อง energy efficiency มีอยู่ 4,000 เมกะวัตต์ ซึ่งไม่น้อยเลย”
ทั้งนี้หลัง BCPG จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯมา 3 ปี บริษัทมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15% สำหรับปี 2562 คาดการณ์ที่ 15-20% มีการจ่ายปันผลตอบแทนที่ดีและมีการเติบโตต่อเนื่อง และทุกครั้งที่มีการพัฒนาโครงการในต่างประเทศ เช่น ในญี่ปุ่น หรืออินโดนีเซีย หุ้นของ BCPG ก็จะขยับขึ้นจึงอยากให้นักลงทุนมองหุ้น BCPG เป็นหุ้นพื้นฐาน”
ด้านบมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด ซึ่งประสบความสำเร็จจากก้าวแรกปี 2549 ในธุรกิจนํ้ามันไบโอดีเซล และเติบโตอย่างแข็งแรงด้วยธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม ก่อนก้าวสู่ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ีรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อปลายปี 2559 ด้วยมูลค่าลงทุนร่วม 1 แสนล้านบาท กำลังผลิต 50 กิกะวัตต์ คาดเฟสแรกขนาด 1 กิกะวัตต์จะสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2563
EA รุกสู่การลงทุน New Technology
นางสาวออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารอำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) กล่าวถึงโครงการรถยนต์ไฟฟ้าว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเริ่มแรกที่ 5,000 คัน ล่าสุดมียอดสั่งจองแล้ว 4,500 คัน (คันละ 1.2 ล้านบาท) หากเป็นไปตามเป้าหมาย คาดจะรับรู้รายได้ในต้นปีหน้าประมาณ 5,000 ล้านบาท และยังมีรายได้ในส่วนธุรกิจแบตเตอรี่อีกราว 3,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงต้นยังไม่มากนักเพราะเริ่มจากการใช้ภายในกลุ่มบริษัทก่อน จุดเด่นของ EA คือการที่เราทำซิสเต็มเป็นองค์รวม ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ไฟฟ้าแต่มีบริการสถานีชาร์จ กระจายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลและทั่วประเทศ เป้าหมาย 1,000 สถานี
“กลยุทธ์การทำธุรกิจของ EA จะเริ่มจากเล็กไปหาใหญ่ ดังนั้นการลงทุนจึงไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการระดมทุน หน้าตักบริษัทขณะนี้ก็ยังมีรูมเหลือมากพอ จากกระแสเงินสดที่เข้ามาจากการจำหน่ายไฟฟ้า ส่วนโครงการลงทุนโรงงานแบตเตอรี่ ีมูลค่าแสนล้านบาท เงินลงทุนจะมาจากพันธมิตรธุรกิจที่ร่วมทุนต่อยอดไปด้วยกัน”
เป้าหมายรายได้บริษัทปีนี้ จะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (OCD) เข้ามาเต็มปีครบ 664 เมกะวัตต์ ส่วนหนึ่งจากการ OCD โรงไฟฟ้าหนุมาน 260 เมกะวัตต์ไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดพร้อมรองรับโครงการลงทุนใหม่ๆ และหนุนให้รายได้ในปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 10% หรือไม่ตํ่ากว่า 15,000 ล้านบาท โดยปีนี้เป็นปีลงทุนของ EA หลายๆโครงการบริษัทวางเป้าหมายต้องเสร็จปีนี้ แต่จะเริ่มมีรายได้ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดีโครงสร้างรายได้ของ EA ในอนาคตจะทยอยเบี่ยงจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ไปสู่ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น”
“UAC กระทุ้งภาครัฐหนุนไบโอแก๊สในชุมชน
ด้านนายชัชพล ประสพโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) กล่าวว่า บริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยยังมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา บริษัทได้งานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทน ในสปป.ลาว เป็นโครงการแรกของบริษัทที่ขยายไปสู่ CLMV ทั้งนี้มองว่าในปีนี้จะเป็นปีของการเติบโตที่ดีของบริษัท
อย่างไรก็ตามโอกาสการลงทุนมองว่ายังมีอีกมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ดีที่สุดคือการหาพันธมิตรร่วมลงทุน และศึกษาร่วมกัน ซึ่งบริษัทได้มีการหาพันธมิตรร่วมลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าภาคเอกชนอยากจะพัฒนาโครงการที่ดี ซึ่งอยากขอให้ภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจน และเปิดโอกาสให้เอกชนได้ลงทุนในโครงการที่ดีด้วย
“ปีนี้ถือเป็นปีที่บริษัทได้เก็บเกี่ยวจากการลงทุน ทำให้มีผลประกอบการที่แข็งแรง คาดมีรายได้เกิน 2,700 ล้านบาท โดย UAC จะเป็นหุ้นที่มีการเติบโตในระยะต่อไปได้ ซึ่งหลังจากนี้บริษัทจะหาโอกาสและขยายการลงทุนในโครงการดีๆ ต่อไป ทั้งนี้อยากให้ภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจน และให้โอกาสบริษัทเอกชนขนาดเล็กได้ลงทุน เชื่อว่าเอกชนพร้อมที่จะทำโครงการดีๆ ได้อีกมาก”
บริษัทมีโครงการนำร่องใช้พืชพลังงานในการผลิตไฟฟ้า โดยมีโรงงานผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานที่จังหวัดเชียงใหม่ มองว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์รัฐบาลได้ค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัทรับบริหารจัดการซื้อของที่ทิ้งจากการเกษตรในชุมชน ซึ่งโรงไฟฟ้ามีกำลังการผลิตประมาณ 1 เมกะวัตต์ สร้างรายได้ประมาณปีละ 40 ล้านบาท และใช้เงินซื้อวัตถุดิบ 15 ล้านบาท ทำให้มีการกระจายรายได้และเกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน
“เชื่อว่าโมเดลของ UAC ที่ใช้พืชพลังงาน หรือไบโอแก๊สในชุมชน ถ้ามีการจัดโซนนิ่ง มีพื้นที่เหมาะสม มีสายส่ง และวัตถุดิบ ควรได้รับการส่งเสริมและผลักดัน ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายามผลักดัน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองมากเท่าไหร่ เชื่อว่าหากเป็นไปได้ตามทิศทางดังกล่าว เราหวังว่าจะได้รับการส่งเสริม นอกจากนี้ปัญหาที่ทำให้โรงไฟฟ้าจ่ายกระแสไฟไม่ได้ เกิดมาจากด้านสายส่งของการไฟฟ้ากว่า 90% อยากให้กระทรวงพลังงานและรัฐบาลกลับมาพิจารณา เพราะศักยภาพของประเทศไทยมองว่ายังทำได้อีกมาก ยังมีพื้นที่อีกมากที่ต้องการใช้ไฟฟ้า แต่สายส่งไม่มีเสถียรภาพ หากนำโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนไปอยู่ในจุดเหล่านั้น รับซื้อผลผลิตจากชุมชน จะส่งเสริมการหมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชนได้เป็นอย่างดี
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,493 วันที่ 4-7 สิงหาคม 2562