“ไอที เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตตลอดเวลา ยุคนี้เป็นยุคทองของไอที ทุกบริษัทในโลกนี้ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ภายใน 3 ปีนี้ ทุกบริษัทต้องปรับตัว ถ้าไม่ปรับ ก็ไม่สามารถต่อสู้ได้” นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกายไอซีที จำกัด (มหาชน) (SKY) กล่าวตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ฐานเศรษฐกิจ”
โดย “นายสิทธิเดช” เข้ามาบริหารงานใน SKY เป็นระยะเวลา 2 ปี ด้วยความสนใจในเรื่องของเทคโนโลยี พร้อมขับเคลื่อนบริษัททำให้ปัจจุบันมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยในปี 2561 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 540 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 107 ล้านบาท จากนั้นในครึ่งปี 2562 มีรายได้แล้ว 1,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปีนี้รายได้จะไม่ตํ่ากว่า 3,500 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 คาดว่ารายได้จะโตไม่ตํ่ากว่า 100% จากในปีนี้ และการรับรู้รายได้ของงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 5,400 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,200 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีต่อไป
สิทธิเดช มัยลาภ
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าขยายงานในภาคเอกชนให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันสัดส่วนงานเอกชนอยู่ที่ 10% ภาครัฐอยู่ที่ 90% เป็นเอกชนอยู่ที่ 20% ส่วนภาครัฐอยู่ที่ 80% เพราะปัจจุบันภาคเอกชนเริ่มให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น และมองว่าสมาร์ท ซิเคียวริตีสามารถตอบโจทย์เอกชนและสร้างความมั่นคงได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทจะให้บริการสมาร์ท ซิเคียวริตี แบบครบวงจรในด้านของการรักษาความปลอดภัยในอาคาร ซึ่งจะเน้นลูกค้าไปที่อาคารสำนักงาน โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาล และรีเทล
“บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านสมาร์ท ซิเคียวริตี จะเน้นติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ประกอบด้วย อัจฉริยะด้านเอไอ (AI) ใน 3 ส่วน คือ กล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) ระบบควบคุมการเข้าออก (แอกเซส คอนโทรล) และระบบอัคคีภัย (Fire alarm) โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด และระบบจดจำใบหน้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ และภูเก็ต ภายใต้ท่าอากาศยานไทย ซึ่งติดตั้งมาแล้วไม่ตํ่ากว่า 5,000 กล้อง นอกจากนี้ ยังได้รับงานติดตั้งที่กรมศุลกากร และทั่วไปอีกประมาณ 2,400 กล้อง”
ขณะเดียวกัน บริษัทได้เป็นผู้พัฒนาโมบายแอพพลิเคชัน ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพื่อให้บริการผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการภายในสนามบิน เช่น การเช็กอิน เที่ยวบิน รวมถึงการให้บริการจองรถเช่า การจองที่จอดรถ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้แอพ พลิเคชันในการจับจ่ายใช้สอยร้านค้าในสนามบิน ด้วยการใช้แต้มสะสม และในอนาคตจะมีการพัฒนาให้มีการแลกเปลี่ยนสกุลเงินเพื่อใช้จ่ายผ่านแอพ พลิเคชันได้อีกด้วย
“ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้บทบาทของแอพพลิเคชันเข้ามาอำนวยความสะดวกมากขึ้น จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานไทยในปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 140 ล้านคน ส่วนในปีนี้คิดว่าจะเติบโตไม่ตํ่ากว่า 5% ดังนั้นเราจึงมุ่งหน้าให้บริการผู้โดยสาร เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น และให้การท่องเที่ยวสมบูรณ์แบบ ทั้งชาวต่างชาติและคนไทย ที่เข้ามาใช้บริการทั้งฟรีไว-ไฟและโมบายแอพพลิเคชันของ AOT”
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีหน้า ด้านสมาร์ท ซิเคียวริตี บริษัทจะเริ่มเข้าไปในเอกชนมากขึ้น เพื่อสานนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยก่อนที่จะเป็นสมาร์ทซิตีได้ มองว่าต้องมีระบบความปลอดภัยที่ดีก่อน ให้ประชาชนในประเทศไทย หรือ ในกรุงเทพฯ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความปลอดภัย ซึ่งการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่เพียงพอ สามารถเข้าสู่พื้นที่ที่มีความเสี่ยง และพื้นที่ที่ห่างไกลจากเจ้าหน้าที่ ควรมีการติดตั้งเพื่อให้มีการใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย
“การแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถต่อยอด หรือประยุกต์ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคได้มากกว่ากัน ขณะที่ ในส่วนของบริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง หากนักลงทุนต้องการบริษัทที่ลงทุนแล้วคุ้มค่า SKY ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเช่นกัน” นายสิทธิเดช กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3508 ระหว่างวันที่ 26 - 28 กันยายน 2562