นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน)หรือ SABINAเปิดเผยว่า แม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าต่างประเทศ ผ่านช่องทางจำหน่าย 2 ช่องทางหลักคือ การส่งออกแบรนด์ซาบีน่าในกลุ่มประเทศ CLMV(กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) และช่องทางรับผลิต(OEM)ให้กับลูกค้าในประเทศแถบยุโรป โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้การส่งออกจาก 3% ของยอดขายรวม เป็น 5% ขณะที่สัดส่วนรายได้ OEM จะยังคงอยู่ที่ 8% เท่าเดิม
“การทำตลาดในต่างประเทศผ่าน 2 ช่องทางดังกล่าว บริษัทฯไม่ได้ใช้นโยบายเชิงรุกโดยเฉพาะในส่วนของ OEM แต่จะใช้การรักษาฐานลูกค้าและรักษาตลาดไว้ แม้ว่าเราจะได้รับผลกระทบในแง่ของรายได้ที่ลดลงเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่กระทบที่ไม่มาก เพราะสัดส่วนรายได้จาก 2 ช่องทางนี้ไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับอีก 2 ช่องทางหลัก คือ การขายผ่านช่องทางรีเทล ผ่านเคาน์เตอร์และซาบีน่า ช้อป และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่การรักษาฐานลูกค้าในต่างประเทศ จะเอื้อประโยชน์ในแง่ของการขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง"
ทั้งนี้ไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีรายได้จากช่องทางส่งออกเติบโต 102% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากยอดขายในเวียดนาม ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโตถึง 7.1% ขณะที่รายได้จากช่องทาง OEM ลดลง 5.7% จากปัญหาการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ หรือเบร็กซิท (BREXIT) ทำให้ลูกค้าในประเทศอังกฤษซึ่งมีสัดส่วน 70% ของลูกค้า OEM ชะลอการสั่งซื้อในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คำสั่งซื้อของลูกค้าในยุโรปรวมถึงอังกฤษได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
ส่วนการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 นั้นเป็นการขึ้นค่าแรง 5-6 บาทต่อวัน หรือ 1.85% จากวันละ 325 บาทเป็น 331 บาท ไม่มีผลกระทบกับต้นทุนของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทเตรียมรับมือกับการปรับขึ้นค่าแรง โดยเน้นดูแลควบคุมต้นทุนในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีรวมถึงนวัตกรรมการผลิตใหม่ๆ ทำให้การผลิตสินค้ามีประสิทธิภาพขึ้น รวมถึงการรุกการขายในช่องทางออนไลน์ที่ทำให้ต้นทุนบริหารจัดการเรื่องหน้าร้านและพนักงานขายลดลง
“การปรับขึ้นค่าแรงเฉลี่ย 1.85% อาจจะถือว่าเป็นปัจจัยบวกกับซาบีน่าด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้ เราตั้งสมมติฐานว่าค่าแรงจะปรับขึ้นมากกว่านี้ แต่การปรับขึ้นครั้งนี้น้อยกว่าที่คาดไว้ เท่ากับว่า ซาบีน่าจะได้รับผลกระทบน้อยลงหรือไม่ได้รับผลกระทบเลย ซึ่งทำให้เราอาจจะต้องปรับประมาณการผลการดำเนินงานใหม่อีกครั้งในทิศทางที่ดีขึ้นจากปัจจัยดังกล่าว”