นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.)เปิดเผยว่า กอช.อยู่ระหว่างปรับปรุงข้อกฎหมายในพ.ร.บ.กอช. ทั้งฉบับให้สอดคล้องกับสถานการณ์การออมในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องพิจารณาให้เสร็จในปีนี้ เนื่องจากครบ 5 ปีที่ต้องมีการทบทวนข้อกฎหมายใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะการเพิ่มเพดานเงินสะสมของสมาชิกจากปัจจุบันคนละไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี จะขยายเป็นคนละไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
ขณะที่เงินสมทบจากภาครัฐนั้น จะขอให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบเพิ่ม เพื่อจูงใจให้ประชาชนนอกระบบมีการออมเงินมากขึ้น จากปัจจุบันหากสมาชิกมีช่วงอายุ 15-30 ปี รัฐบาลจะสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง แต่ไม่เกิน 600 บาทต่อปี อายุ 30-50 ปี รัฐสมทบ 80% แต่ไม่เกิน 960 บาทต่อปี และอายุ 50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100% แต่ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี
ทั้งนี้หากพิจารณาแล้วเสร็จ จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการกอช.พิจารณา ก่อนเสนอให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อออกเป็นกฎกระทรวงบังคับใช้กฎหมายต่อไป
“ต้องให้เสร็จในปีนี้ เพราะครบ 5 ปีที่ต้องมีการแก้ไขกฎหมายใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ทั้งการขยายอายุเวลาของสมาชิกจากปัจจุบันออมได้ถึง 60ปี รวมไปถึงการเพิ่มเพดานการสะสมเงินออม ที่กำหนดไว้ปีละ 30,000 บาทต่อคน ซึ่งจะทำให้สมาชิกได้เงินบำนาญเดือนละ 600 บาทจนถึงอายุ 80 ปี โดยออมเงินเพียง 5 ปีก็ได้แล้ว แต่หากปีละ 13,200 บาทเหมือนในปัจจุบันต้องใช้เวลาออมถึง 10 ปีทีเดียว ส่วนเงินสมทบต้องแล้วแต่รัฐพิจารณาเงินงบประมาณให้ว่าเพิ่มให้ได้แค่ไหน”นางสาวจารุลักษณ์กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2563 นี้ กอช.ตั้งเป้าเพิ่มยอดสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านคน เป็น 3 ล้านคน จากสิ้นปี 2562 ที่มีสมาชิก 2,337,700 คน โดยกอช.จะเน้นเพิ่มกลุ่มเป้าหมายที่นักเรียน นักศึกษาที่อยู่ในช่วงอายุ 15-30 ปีให้เพิ่มมากขึ้นเป็น 40% จากสัดส่วนปัจจุบันที่อยู่ที่ 16.1% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด โดยกอช.จะหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ ให้กำหนดหลักสูตรวิชาเลือกให้เป็นวิชาบริหารการเงิน เพื่อให้เด็กได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการออม และส่งเสริมให้มาออมเงินกับกอช.เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันจะเร่งสร้างเครือข่าย กอช. ประจำหมู่บ้านครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ นำร่อง 25 จังหวัด กว่า 30,000 หมู่บ้าน เพื่อให้คำแนะนำปรึกษาในการสมัครสมาชิกและการส่งเงินออมสะสม พร้อมทำสมุดคู่ฝากร่วมกับธนาคารของรัฐ เพื่อให้สมาชิกได้มีหลักฐานการออมของตนเองไว้ โดยคาดว่าภายในกลางปีนี้จะได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการร่วมกับธนาคารใด และระบบสมุดคู่ฝากจะเป็นอย่างไร
ส่วนในปี 2562 ที่ผ่านมา กอช. มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสูงถึง 2,335,085 คน โดยเพิ่มขึ้นกว่า 282% ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย อาทิ ที่ว่าการอำเภอ 878 อำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คลังจังหวัด และธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง เป็นต้น รวมทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้สมาชิกได้ถึง 4.44% กระจายความเสี่ยงไปยังกลุ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และความผันผวนต่ำ อาทิ พันธบัตร เงินฝาก และตราสารหนี้เอกชน