นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)พรินซิเพิลเปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนเปิดพรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม หรือ Principal Balanced Income Fund (PRINCIPAL iBALANCED) มาใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ ‘Asset Allocation’ เพื่อกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายคือ ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และทองคำ ทั้งลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนของ บลจ.พรินซิเพิล อาทิ กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอร์ ฟิกซ์ อินคัม (PRINCIPAL iFIXED), กองทุนเปิดพรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ อิควิตี้ (PRINCIPAL EEF), กองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP) ฯลฯ จากเดิมที่กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นไทยเป็นหลัก
ทั้งนี้ทีมจัดการลงทุนจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท เพื่อเป็นพอร์ตลงทุนหลัก (Strategic Asset Alloction) โดยปรับสัดส่วนลงทุน (Rebalanced Portfolio) ในสินทรัพย์แต่ละประเภทแบบอัตโนมัติเมื่อชนกรอบสัดส่วนการลงทุนที่กำหนดไว้ และมีผู้จัดการกองทุน ทำหน้าที่ประเมินแนวโน้มการลงทุนในช่วง 6 – 12 เดือนข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับทิศทางตลาด
“การปรับกลยุทธ์กองทุน PRINCIPAL iBALANCED ครั้งนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว การลงทุนจึงต้องมองหาโอกาสในกลุ่มสินทรัพย์หลากหลายมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการหาผลตอบแทนที่ดีขึ้น เช่นปี 2562 สินทรัพย์ที่ลงทุนบางกลุ่มที่สามารถให้ผลตอบแทนสูง เช่น ดัชนี Property Fund ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.54%, REITs ในไทยและสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 25.61% (ที่มา: Bloomberg, Data as of 31 Dec 2019) ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2563 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จะยังเติบโตได้ดี เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% เทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 3.9% เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาที่คาดว่า เศรษฐกิจจะเติบโตสูงขึ้นเช่นกัน”
ขณะที่โอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในภาคการผลิตและภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะมูลค่าเศรษฐกิจของภาคบริการที่คิดเป็นสัดส่วน 70% ของ GDP ยังคงอยู่ในช่วงขยายตัว และตัวเลขภาคการผลิตกว่า 60% ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2562 อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามในปีนี้คือ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน การออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ต้องติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ รวมทั้งการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า อาจเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจและสร้างความผันผวนต่อการลงทุนในตลาดการเงิน
ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL iBALANCED จัดตั้งเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 โดยรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Auto Redemption) Class - R ต่อเนื่องแล้ว 25 ครั้ง รวม 3.12 บาทต่อหน่วย และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 บลจ.พรินซิเพิล จะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดจ่ายเงินปันผล (Dividend) Class – D เป็นครั้งแรก ประมาณการอัตราจ่ายเงินปันผลที่ 5 – 6% ต่อปี คาดการณ์จ่ายเงินปันผลประมาณ 4 ครั้งต่อปี เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว โดยได้รับเงินปันผลจากการลงทุน