ส่องพอร์ตคาราบาวแดง "เสถียร" อู้ฟู่ 3 หมื่นล้านบาท

28 พ.ค. 2563 | 00:55 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ค. 2563 | 08:00 น.

กลุ่มเสถียร เศรษฐสิทธิ์ โยนบิ๊กล็อต 22.05 ล้านหุ้น เก็บเงิน 2,137.50 ล้านบาท ไม่สะเทือนพอร์ต CBG เผยถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่ารวมกว่า 30,420 ล้านบาท พร้อมโกยเงินปันผลปี 2562 รวม 541 ล้านบาท ด้านครอบครัว "โอภากุล" ไม่น้อยหน้า พอร์ตรวม 13,583 ล้านบาท รับปันผล 241 ล้านบาท

 

หลังจากบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CBG) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ทำรายการขายหุ้นบิ๊กล็อต จำนวน 22,500,000 หุ้น หรือประมาณ 2.25% ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 95.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 2,137,500,000 บาท ให้แก่กลุ่มนักลงทุนในประเทศ และ/หรือต่างประเทศ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมเมื่อนับรวมกันแล้วลดลงจาก 34.37% มาอยู่ที่ 32.12% และราคาหุ้นวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ปิดที่ 95.50 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 4.50% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4,447.31 ล้านบาท

รายงานข่าวจากตลท. เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้น CBG กลุ่มของนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประกอบด้วย บริษัท เสถียรธรรมโฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 , นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ผู้ถือหุ้นอันดับ 4 และ NORTHEND INVESTMENT LIMITED ผู้ถือหุ้นอันดับ 10 โดยข้อมูลจากตลท. พบว่า จำนวนหุ้นรวมของกลุ่มนายเสถียรที่ปรากฏในอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ อยู่ที่ 318,538,600 หุ้น หากคิดในราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ที่ 95.50 บาท มีมูลค่ารวม 30,420,436,300 บาท

ขณะที่ กลุ่มของนายยืนยง โอภากุล หรือ “แอ๊ด คาราบาว” ประกอบด้วย นายยืนยง โอภากุล ผู้ถือหุ้นอันดับ 3, นางลินจง โอภากุล ผู้ถือหุ้นอันดับ 7, น.ส.ณิชา โอภากุล ผู้ถือหุ้นอันดับ 12, น.ส.นัชชา โอภากุล ผู้ถือหุ้นอันดับ 13 และนายวรมัน โอภากุล ผู้ถือหุ้นอันดับ 14 ถือหุ้นรวม 142,233,700 หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 13,583,318,350 บาท

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบมูลค่าการถือหุ้นของกลุ่มนายเสถียรในราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่หุ้นละ 28.00 บาท มูลค่ารวมอยู่ที่ 8,919,080,800 บาท ซึ่งจากวันแรกที่เริ่มซื้อขายวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 – วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 มูลค่าการถือครองหุ้น CBG ของกลุ่มนายเสถียร เพิ่มขึ้น 21,501,355,500 บาท ส่วนกลุ่มนายยืนยง มูลค่ารวม ณ ราคาไอพีโอ อยู่ที่ 3,982,543,600 บาท และ ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 มูลค่าถือครองเพิ่มขึ้น 9,600,774,750 บาท

นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2562 จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จำนวนหุ้นละ 0.50 บาท จ่ายไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 และครั้งที่ 2 จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จำนวนหุ้นละ 1.20 บาท จ่ายไปเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 รวมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2562 จำนวนหุ้นละ 1.70 บาท ซึ่งกลุ่มนายเสถียร ได้รับเงินปันผลระหว่างกาลรวมอยู่ที่ 541,515,620 บาท และกลุ่มนายยืนยง รับเงินปันผลระหว่างกาลรวมอยู่ที่ 241,797,290 บาท

 

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาสแรก ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 800.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีกำไร 419.43 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 4,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 700 ล้านบาท หรือ 20.8% จากปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของการส่งออกเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปยังตลาดต่างประเทศ และการเติบโตของรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายสินค้าให้บุคคลภายนอก รวมถึงรายได้จากสินค้าเครื่องหมายการค้าของตนเอง อยู่ที่ 3,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 487 ล้านบาทหรือ 16.6% และรายได้จากการขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 2,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 502 ล้านบาทหรือ 30.3% โดยในจำนวนนี้ประกอบไปด้วยรายได้ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV รวมกัน 1,969 ล้านบาท ประเทศจีน 66 ล้านบาท และที่เหลือเป็นประเทศอื่น