ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) โดยดาวโจนส์ทำสถิติยืนที่เหนือระดับ 27,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนทำให้นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี (defensive stocks) เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภค ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินราว 1 ล้านล้านดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,005.84 จุด เพิ่มขึ้น 165.44 จุด หรือ +0.62% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,276.02 จุด เพิ่มขึ้น 18.72 จุด หรือ +0.57% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,706.13 จุด เพิ่มขึ้น 25.77 จุด หรือ +0.24%
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัยและมีปัจจัยพื้นฐานดี ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ รัฐบาลสหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่เมืองฮิวสตันภายใน 72 ชั่วโมง ขณะที่จีนประกาศตอบโต้มาตรการดังกล่าว
นักลงทุนยังจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์หรือมากกว่า โดยโครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องหามาตรการช่วยเหลืออื่นมารองรับหลังจากนั้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้นเกือบ 21% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2511 หลังจากทรุดตัวลงอย่างหนักในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.