3 กันยายน 63 จากกรณีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ จะเข้าพบนายก เพื่อนำเสนอมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ คือ
1.ปลดล็อกมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV )
2. ปรับ / ยกเลิกเพดานราคาบ้านที่ได้รับสิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง
3.มาตรการดึงดูดต่งชาติข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ด้วยการโหมแคมเปญ "Thailand Best Second Home" เพื่อส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาซื้อบ้านในไทยเป็นที่อยู่อาศัยหลังที่ 2
บมจ.บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินว่า มีโอกาสที่ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหามากขึ้น โดยมาตรการที่เป็นไปได้ ได้แก่ การปรับ/ยกเลิกเพดานราคาบ้านที่ได้ร้บสิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง และมาตรการดึงดูดต่างชาตเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งเป็นอำนาจของภาครัฐที่จะทำได้ ส่วนการปลดล็อกมาตรการ LTV ประเมินว่ายังเป็นไปได้ยากและเป็นอำนาจของ ธปท.
การปรับ/ยกเลิกเพดานราคาบ้านที่ได้รับสิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง จากปัจจุบันที่จำกัดให้สิทธิผู้ซื้อบ้านคอนโด ไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้ลดค่าธรรมเนียมเหลือ 0.01% (ปกติต้องจ่ยค่าธรรมเนียมการโอน 2% และคำจดจำนอง 1% ของราคาที่อยู่อาศัย) สิ้นสุด 24 ธ.ค.2563 ซึ่งหากมีการปรับ/ยกเลิกเพดานราคาบ้านดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อภาครวมอสังหาฯมากขึ้น
เนื่องจากราคาบ้านคอนโดไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 30% ของตลาดรวม ซึ่งจะทำให้ส่วนที่เหลืออีก 70% ได้ประโยชน์ด้วย
ทั้งนี้มองเป็นบวกต่อผู้ประกอบการที่มีราคาบ้านเฉลี่ยเกิน 3 ล้านบาท ได้แก่ LH, QH, AP, SPALI, ANAN, ORI
ส่วนมาตรการดึงดูดต่งชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น มองเป็นบวกต่อผู้ประกอบการคอนโดที่ต่างชาติสามารถข้ามาซื้อป็นเจ้าของได้ โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ ANAN, ORI, AP, SPALI
อย่างไรก็ดี KTBST มองว่าการปลดล็อกมาตรการ LTV เชื่อว่ายังเป็นไปได้ยาก แต่ธปท. อาจมีการผ่อนคลายมากขึ้น เนื่องจาก ธปท. กังวลการเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งปัจจุบันการเก็งกำไรลดลงมาก ซึ่งหากมีการผ่อนคลายจะเป็นผลบวกต่อภาพรวม
คาดราคาหุ้นกลุ่ม property วันนี้จะตอบรับเชิงบวกจากข่าวดังกล่าว สำหรับกลุ่ม propety ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral โดยหุ้น top pick ได้แค่ ORI (ชื้อ/เป้าหมาย 9.70 บาท) จากแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2563 ดีสุดในกลุ่ม โดยมีสัดส่วนยอด backlog ต่อรายได้ที่สูงสุดในกลุ่ม ขณะเดียวกันยังแนะ SPALI ชื้อ/เป้า 20,00 บาท) และQH (ซื้อ/เป้า 2.60 บาท)
ด้านบล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การปลดล็อกมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) และการลด
เพดานราคาบ้านที่ได้รับสิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง ในกรณีถ้ามีการปลด LTV หมดแล้วกลับไปเป็นเหมือนก่อนวันที่ 1 เม.ย.62 เราเห็นว่าจะสร้างกำลังซื้อส่วนเพิ่มให้กับผู้ซื้อบ้านทั้งหมด เพราะจะทำให้ไม่มีเกณฑ์ในการกำหนดวงเงินปล่อยสินเชื่อเหมือนในปัจจุบัน
โดยเฉพาะ 1) กลุ่มผู้ซื้อบ้านที่มีกำลังซื้อไม่มาก ( บ้านต่ำกว่า 3 ลบ. คิดเป็นเกือบ 60% ของอุปทานบ้านปัจจุบัน และ 40% ของยอดขายของโครงการเปิดใหม่ปี 2562) และ 2) ผู้ซื้อบ้านที่มีสัญญากู้เงินสัญญาที่ 2 เป็นต้นไป (มีราว 20% ของจำนวนสัญญาที่อยู่อาศัยในระบบ)
อย่างไรก็ตามด้วยการที่สถาบันการเงินโดยรวมในปีนี้มีความระมัดระวังในการปล่อยสิ่นเชื่อมากขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาก ดังนั้นประโยชน์ที่กลุ่มอสังหาจะได้รับหากมีการปลด LTV จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงของสถาบันการเงินอยู่ดี บนสมมุติฐาน อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในบ้านราคาต่ำกว่า 3 ลบ.ที่ 40% และให้เหตุผลที่มีการปฏิเสธสินเชื่อมาจาก LTV 50% ดังนั้นการปลด LTV จะช่วยดึงกำลังซื้อกลับมาให้อุตสาหกรรมเฉพาะจากบ้านที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ประมาณ 8%
หุ้นแนะนำ SPALI (พื้นฐาน 18 บาท) Baclog ที่มีอัตรากำไรสูง โครงการแนวราบใหม่ๆ และส่วนแบ่งตลาดที่สูงขึ้นต่างเป็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนกำไรในครึ่งหลังปี 63 ขึ้น 200% เทียบครึ่งปีแรก
ข่าวเกี่ยวข้อง
ฟันธง“ฟื้นเศรษฐกิจ” ต้องเปิดรับต่างชาติ
ผ่าตลาดอสังหาฯ เค้นดีมานด์ ล้านหลัง