หุ้นกลุ่ม Secular growth ของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ

10 ก.ย. 2563 | 09:00 น.

SCB CIO มองหุ้นกลุ่ม Secular growth ของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ

 

SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ออกบทความ : มุมมองหุ้นกลุ่ม Secular growth ของสหรัฐฯ 

 

 

หุ้นกลุ่ม Secular growth ของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ

 

ในช่วงตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็น Secular growth ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี สื่อสาร และสินค้าฟุ่มเฟือย สำหรับปัจจัยที่กดดันให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับลดลง ได้แก่

 

1.   นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ หุ้น Apple, Alphabet, Amazon, Facebook และ Tesla ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq ซึ่งเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ ปิดบวกอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 43 ครั้ง ขณะที่ หุ้นกลุ่ม FAAMG ได้แก่ Facebook, Amazon, Apple, Microsoft และ Google  มีขนาดมูลค่าตลาด หรือ Market cap รวมเพิ่มขึ้น จากราว 19% ของดัชนี S&P500 ในช่วงต้นปี สู่ระดับ 24% ในปัจจุบัน

 

2.   ระดับ Valuation ซึ่งวัดโดย Forward PE ratio บ่งชี้ว่า หุ้นสหรัฐฯมีมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป หรือค่อนข้างแพงโดยเฉพาะกลุ่ม Secular growth ซึ่งรวมถึงกลุ่มสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย มี Forward PE ratio ซื้อขายอยู่ที่ระดับ 24.9, 28.8 และ 39.8 เท่า ตามลำดับ

 

3.   ดัชนีชี้วัดความผันผวนของดัชนี Nasdaq 100 เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี เมื่อเทียบกับของดัชนี S&P500 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ จะเสี่ยงถูกขายทำกำไร และผันผวนมากขึ้น จึงส่งผลให้นักลงทุนเริ่มทยอยเพิ่มการเข้าซื้อ put option หรือตราสารอนุพันธ์ที่ให้สิทธิ์ในการขายบนหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ความผันผวนในตลาดฯที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว ยังส่งผลให้กองทุนที่ใช้กลยุทธ์เพื่อทำกำไรจากสภาพแวดล้อมที่ผันผวนต่ำ ขาดทุนเพิ่มขึ้น และมีแรงขายทำกำไรออกมา

 

 

 

4.  หุ้นขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีการซื้อ call option หรือตราสารอนุพันธ์ที่ให้สิทธิ์ในการซื้อบนหุ้นขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงบนหุ้น Tesla ขณะที่ ผู้ขาย call option บนหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีความจำเป็นเช่นกัน ที่ต้องเข้าซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าวตาม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากขึ้น ดังนั้นปัจจัยข้างต้นจึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ รายงานที่ว่า กลต.สหรัฐฯ ได้สอบสวนบริษัทหลักทรัพย์ออนไลน์ Robinhood ในประเด็นเรื่องการเปิดเผยข้อมูล ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายหุ้น และ option ผ่าน Robinhood เกิดความกังวล และขายทำกำไรออกมาในกลุ่มดังกล่าว

 

5.   ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พ.ย. ที่เพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นอีกปัจจัยทำให้ดัชนีชี้วัดความผันผวนของดัชนี Nasdaq 100 และดัชนี S&P500 กลับมาปรับเพิ่มขึ้น โดยล่าสุด ความเป็นไปได้ที่นายโจ ไบเดน จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มลดลง และโอกาสที่พรรคเดโมแครตจะได้เสียงข้างมากในวุฒิสภา หรือ Senate ลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือน ต.ค.นี้ ที่มีจะการโต้วาทีทั้งหมด 4 ครั้ง ระหว่างทั้งพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต จะส่งผลให้ดัชนีชี้วัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อในระยะถัดไป

 

6.   นักลงทุนเริ่มเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่เน้นลงทุน (Sector rotation) ออกจากกลุ่ม Secular Growth ของสหรัฐฯ ในช่วงสั้น มาเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวตามวัฏจักร (Cyclical) และกลุ่ม Value มากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ดัชนี Russell 1000 Value สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า (outperform) ดัชนี Russell 1000 Growth มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยสาเหตุของการ outperform มาจากความคาดหวังว่าหุ้นในกลุ่ม Cyclical และกลุ่ม Value ของสหรัฐฯจะได้อานิสงค์ค่อนข้างมาก จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ใหม่รายวันของสหรัฐฯ ทยอยปรับลดลง และการพัฒนาวัคซีน และยาต้านไวรัสโควิด-19 มีความคืบหน้ามากขึ้น

 

มุมมองของเรา

 

CIO Office มองว่า ความเสี่ยงที่หุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี จะปรับฐานลดลงแรงอย่างต่อเนื่อง เหมือนในช่วงที่เกิดฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 ยังถือว่าค่อนข้างต่ำในปัจจุบัน เนื่องจาก ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 5 บริษัทแรก ส่วนใหญ่ยังได้แรงหนุนมาจากผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มที่ขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่อง ตามความสามารถในการผูกขาดในตลาดที่เพิ่มขึ้น มากกว่า ผลของการปรับเพิ่มขึ้นใน Valuation หรือ Forward PE ratio ของกลุ่มฯ

 

ทั้งนี้ CIO Office ยังมีมุมมองว่า การ Rotation จากกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มที่จะยังคงดำเนินต่อไป จนเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และความเสี่ยงในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจจะเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ประกอบกับระดับ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ยังค่อนข้างแพง 

 

 

ดังนั้น CIO Office จึงแนะนำให้ทยอยขายรับรู้กำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ออกมาก่อน เพื่อตั้งรับความผันผวนที่เกิดขึ้น และรอจังหวะเพื่อกลับเข้าลงทุนใหม่ ในขณะที่ กลยุทธ์ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ CIO Office ยังมองว่า หุ้นกลุ่ม Secular growth ของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวในระยะกลางยังไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่

 

1)   ความสามารถในการทำกำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง โดยตลาดฯ หรือ Consensus คาดว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ของกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในปี 2019-2021 จะขยายตัวเฉลี่ย 8% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ที่ 0% และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น  (ROE) ของกลุ่มเทคโนโลยี ที่ 20% เทียบกับดัชนีฯที่ +12% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีงบดุลที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง สะท้อนจากการที่กลุ่มเทคโนโลยีมีกระแสเงินสดส่วนเกินที่สูง และมีการก่อหนี้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบตลาดหุ้นสหรัฐฯในภาพรวม

 

2)  อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำนานมากขึ้น หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ  (Fed) ได้เปลี่ยนไปใช้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 2% จากเดิมกำหนดไว้ที่ 2% ซึ่งบ่งชี้ว่า Fed จะยอมให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเกิน 2% ได้ระยะหนึ่ง จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งค่อนข้างอ่อนไหวต่อระดับอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีที่มีแนวโน้มทรงตัวถึงติดลบมากขึ้น จากผลของนโยบายการเงินการคลังของสหรัฐฯ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงหุ้นกลุ่ม Secular growth ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดตราสารหนี้

 

3)   ความไม่แน่นอนด้านนโยบายต่างๆของรัฐบาลสหรัฐฯมีแนวโน้มลดลง โดยภายหลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และแนวโน้มนโยบายต่างๆของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ที่มีชัดเจน จะช่วยลดความผันผวนในตลาดการเงินลง ทั้งนี้ CIO Office มองว่า หากนายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และครองเสียงข้างมากเฉพาะในสภาล่าง จะส่งผลให้นโยบายของนายไบเดน ที่ต้องการปรับเพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคล และการออกกฎระเบียบต่างๆ ที่เข้มงวดขึ้นกับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ อาจออกมาไม่รุนแรง และจะส่งผลกระทบทางลบค่อนข้างจำกัดต่อความสามารถในการทำไรของบริษัทเทคโนโลยี รายใหญ่    ฉบับเต็มที่นี่

 

 

บทวิเคราะห์โดย

เกษรี อายุตตะกะ, CFP® ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Chief Investment office บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด

จตุรภัทร ทนาบุตร, ผู้ช่วยผู้จัดการ Chief Investment office บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด