ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50%ต่อปี(18พ.ย.63) สาเหตุจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับรายได้ของแรงงานอยู่ในระดับต่ำซึ่งจะกดดันการบริโภคเอกชน และความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าเร็วขึ้น ภายหลังผลการเลือกตั้งในสหรัฐและข่าวความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีน ซึ่งคณะกรรมการเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์แข็งค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิดรวมทั้งพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ในการประชุมของคณะกรรมการกนง.ได้มีการหารือมากขึ้นใน 3ประเด็น ได้แก่ 1.เรื่องอัตราดอยเบี้ยในตลาดการเงินโดยรวมทุกประเภทต่ำเป็นประวัติการณ์ แต่สภาพคล่องยังกระจายตัวไม่ทั่วถึงเนื่องจาก Credit Risk ที่สูงขึ้น เห็นได้จากภาพรวมสินเชื่อธุรกิจในเดือนกันยายนขยายตัวที่ 4.5% แต่เมื่อดูไส้ในของพอร์ตสินเชื่อและขนาดวงเงินสินเชื่อธุรกิจ เช่น วงเงินสินเชื่อเกิน 500ล้านบาทต่อสถาบันการเงินเร่งตัวขึ้นเมื่อไตรมาสสองและชะลอตัวลงบ้างในปัจจุบัน ส่วนวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500ล้านบาทหรือสินเชื่อเอสเอ็มอีนั้น ขยายตัวติดลบ 3% ซึ่งหากไม่มีแพกเกจสินเชื่ออาจจะติดลบมากถึง 6% และสินเชื่ออุปโภคบริโภค ขยาย 4.8% ซึ่งสะท้อนว่าแม้สภาพคล่องในระบบการเงินจะอยู่ในระดับสูงแต่การกระจายตัวสินเชื่อไม่ทั่วถึง ส่วนหนี่งมาจากความเสี่ยง(Credit Risk)
2.การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งคณะกรรมการกนง.มีความเห็นว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยให้พิจารณามาตรการเพิ่มเติมตามความจำเป็น นอกเหนือจากการที่ธปท.ได้ดูแลค่าเงินในช่วงที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้จากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในส่วนของเงินลงทุนในตราสารหนี้ติดลบ สะท้อนเงินทุนไหลออกในช่วงนั้น แต่หลังจากผลการเลือกตั้งของสหรัฐและข่าวความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน ทำให้ตลาดการเงินโลกเริ่มเปลี่ยน โดยมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งเมืองไทยด้วย ดังนั้นในเดือนที่ผ่านมาจึงเห็นเงินทุนไหลเข้ามากขึ้นทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน การเคลื่อนไหวของเงินบาทสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินในภูมิภาค และประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม หลังจากการประชุมกนง. ครั้งที่แล้ว(23กันยายน 2563) จะเห็นได้ว่าสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง(USD Indexติดลบ 2.1%) เทียบกับค่าเงินของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศพัฒนาแล้ว ค่าเงินเมื่อเทียบกับดอลลาร์ทุกประเทศแข็งค่ามากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีจะเห็นเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่า 0.6%
“จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอาจจะต้องดูภาพรวมๆกันระยะยาว ในช่วงที่ผ่านมาจากการประชุมคณะกรรมการกนง.ครั้งที่แล้ว ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอาจจะแข็งค่าขึ้นเร็ว 4.3%เช่นเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค แต่หากเทียบตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันเงินบาทยังอ่อนค่า 0.6% เพราะฉะนั้นนอกจากการดูแลค่าเงินบาทแล้วคงจะมีการทบทวนพิจารณาความจำเป็นในการบริหารเพิ่มขึ้นโดยเราจะให้ความสำคัญทั้งการเข้าไปดูแลระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งในวันศุกร์(ที่20พ.ย.)จะสรุปสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมและมาตรการที่จะมีในช่วงต่อไป”
นายทิตนันท์ยังมี ข้อสังเกตจากข่าวของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ว่า กระแสข่าวการพัฒนาวัคซีนได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโดยเฉพาะค่าเงิน แต่ผลดีของวัคซีนยังคงต้องใช้เวลากว่าจะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริง ทำให้คนเดินทางได้ ท่องเที่ยวได้ เพราะการค้นพบวัคซีน หรือการพัฒนาวัคซีนยังมีอีกหลายขั้นตอน ไม่ว่าขั้นตอนการรับรองจากทางการอนุญาตให้นำออกมาใช้ หรือการกระจายไปในแต่ละประเทศเพื่อให้เกิดผลในทางปฎิบัติจริง ซึ่งในประเด็นดังกล่าวทางคณะกรรมการกนง.ได้ให้เป็นการบ้านไปศึกษาเพื่อจะประเมินความเสี่ยงของเศรษฐกิจ
3.ตลาดแรงงาน ซึ่งคณะกรรมการกนง.ให้ความสำคัญแล้วติดตามและหารือมาหลายครั้งที่ผ่านมา โดยพบว่า ผู้เสมือนว่างงาน หรือคนทำงานไม่กี่ชั่วโมงทั้งในและนอกภาคเกษตรปรับตัวดีขึ้น เหลือเพียง 2.5ล้านคน (เดือนต.ค.) สำหรับอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.1% แต่การเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน 0.8ล้านคน ส่วนหนึ่งมาจากแรงงานที่ออกนอกระบบแรงงานแล้วกลับเข้ามาทำงาน หรือการกลับเข้ามาหางานเพิ่ม ซึ่งภาพรวมตลาดแรงงานแม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังมีความเปราะบางในช่วงต่อไปซึ่งอาจจะมีปัจจัยเรื่องภัยแล้งในปีหน้าหรือสถานการณ์ธุรกิจ ขณะที่ตลาดแรงงานนั้น รายได้ของครัวเรือนที่เป็นลูกจ้างลดลง ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ ลูกจ้างอิสระในภาคบริการที่รายได้ลดลงมาก โดยตลาดแรงงานเป็นรายได้ของครัวเรือน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดการบริโภคในช่วงต่อไปและจะเชื่อมโยงกับความสามารถในการชำระหนี้ด้วย