รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นํามาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์ ซึ่งในขณะกระทำผิดเป็นกรรมการและผู้บริหารของ IFEC กรณีอาศัยข้อมูลภายในขายหุ้น IFEC โดยให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด แต่นายศุภนันท์ ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งดังกล่าว และเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีนายศุภนันท์ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ. 7633/2561 ซึ่งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ. 5964/2562 โดยพิพากษาให้ยกฟ้อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาศาลแพ่ง เป็นว่าให้จำเลยชำระค่าปรับทางแพ่งเป็นเงิน 2 เท่าของผลประโยชน์ที่จำเลยได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด เป็นเงิน 21,284,548.48 บาท และให้ชดใช้เงินผลประโยชน์ที่พึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นเงิน 10,642,274.24 บาท รวมเป็นเงิน 31,926,822.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า คดีนี้เป็นกรณีใช้ข้อมูลภายในที่ดำเนินคดีโดยใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 หากจําเลยไม่ปฏิบัติตามคําพิพากษา ก.ล.ต. จะดำเนินการบังคับคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำผิด เป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง