นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นรับข่าวเศรษฐกิจฟื้นตัวท่ามกลางการเร่งฉีดวัคซีน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID - 19 และการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการเงินการคลังอย่างต่อเนื่อง หากนักลงทุนต้องการเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว ธนาคารทิสโก้มองว่า ‘ตลาดหุ้นจีน’ ช่วยตอบโจทย์การลงทุนดังกล่าวได้ดีที่สุด
ทั้งนี้เนื่องจาก ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค จึงมีโอกาสการปรับขึ้น (Upside) มากกว่า และตลาดหุ้นจีนยังได้แรงส่งจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กลับมาอ่อนค่าลงอีกด้วย ขณะที่เศรษฐกิจจีนก็ฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจีนเป็นประเทศหลักเพียงประเทศเดียวที่เศรษฐกิจกลับสู่ระดับก่อน COVID-19 ได้แล้ว ซึ่งตลาด (Bloomberg Consensus) คาดว่า เศรษฐกิจจีน ปี 2564 จะขยายตัว 8.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากไตรมาส 1 เศรษฐกิจจีนได้เติบโตสูงถึง 18.3%
ธนาคารทิสโก้ประเมินว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ในระยะยาวตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564- 2568) โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าให้เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี มุ่งเน้นการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเน้นการเติบโตในประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดาวรุ่งที่จะได้รับประโยชน์จากแผนดังกล่าว จนอาจเรียกได้ว่าจะเป็นธุรกิจเมกะเทรนด์ของจีน มี 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคของจีน (China Consumer Discretionary) และ 2. กลุ่มธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ประเทศจีน (China Health Innovation)
กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคของจีน เช่น อีคอมเมิร์ซ พลังงานสะอาด(EV) การศึกษาออนไลน์ และธุรกิจเกมและบริการที่เกี่ยวข้อง โดยธุรกิจเหล่านี้มีโอกาสเติบโตตามแรงหนุนของรัฐบาลจีนที่ต้องการเติบโตจากการบริโภคในประเทศ รวมถึงการเน้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
“แม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของจีน ปรับตัวลงมาชั่วคราวจากความกังวลด้านกฎเกณฑ์จากภาครัฐ แต่ยังมีโอกาสเติบโตตามการบริโภคภายในประเทศและรายได้ต่อหัวของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลจีน ตั้งเป้าให้ดิจิทัลอีโคโนมี (Digital Economy) ขึ้นมามีสัดส่วนราว 10% ของ GDP ภายในปี 2568 ด้วยการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้งเทคโนโลยี 5G, AI, Internet of Things, Smart Cities และ Semiconductors และยังตั้งเป้างบลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนา เพิ่มขึ้นปีละ 7% ส่งผลให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับขนาดของ GDP” นายณัฐกฤติกล่าว
ส่วนกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ประเทศจีน เช่น ธุรกิจเภสัชอุตสาหกรรม ธุรกิจไบโอเทคโนโลยี ธุรกิจกลุ่มเฮลธ์แคร์ และอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากแผนปฏิรูปด้านการดูแลสุขภาพของจีน ภายใต้ธีม “Healthy China 2030 Plan” โดยรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ปีจาก 77 ปีเป็น 78 ปี และสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาตัวยาที่มีคุณภาพร่วมกับบริษัทต่างชาติ รวมถึงการเร่งอนุมัติยาตัวใหม่ให้เร็วขึ้น จนทำให้จำนวนยาใหม่ของจีนที่ได้รับการอนุมัติ ในปี 2562 มีทั้งหมด 56 ตัว จากปี 2558 และ 2559 ที่อนุมัติเพียง 7 และ 9 ตัวตามลำดับ
ทั้งนี้ สิ่งที่กำลังเร่งตัวการเติบโตกลุ่มนี้ที่เห็นได้ชัด คือ การวิจัยพัฒนาวัคซีน COVID-19 ของจีนที่มีการวิจัยพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ ได้แก่ Sinovac กับ Sinopharm และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน ผู้ผลิตยาในจีนยังพัฒนาวัคซีนประเภทเชื้อเป็น (mRNA) รูปแบบเดียวกับ Pfizer BioNTech และ Moderna โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
"ทิสโก้"ชี้เป้าลงทุนไตรมาส 2 แนะเพิ่มน้ำหนักตลาดเกิดใหม่-จีน
กลุ่มทิสโก้กำไรสุทธิไตรมาส1/64เพิ่ม 18.7%
บลจ.ทิสโก้แย้ม มีโอกาสปรับเป้าดัชนีหุ้นไทย