นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมาคมธนาคารไทยได้หารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 ให้ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมผู้ประกอบการทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รายกลางและรายเล็กๆ ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังมีศักยภาพ ไม่สามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่อง ผ่านมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยจะร่วมมือกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยขอให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวบรวมรายชื่อข้อมูลของผู้ประกอบการที่สนใจขอ สินเชื่อฟื้นฟู เพื่อเสริมสภาพคล่องและหาแนวทางข้อสรุปในการช่วยเหลือแต่ละราย ซึ่งสมาคมธนาคารไทยจะได้ส่งต่อให้กับธนาคารสมาชิกต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากสมาคมธนาคารไทยร่วมกับธปท.เปิดให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการผ่านสินเชื่อฟื้นฟู เพียงแค่ 3 สัปดาห์ ธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูไปแล้ว 15,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการ SMEs 5 พันกว่าราย ซึ่งจำนวนนี้ เป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมกับธนาคาร ทั้งรายเล็ก กลาง และใหญ่ ครอบคลุมทุกธุรกิจทั่วประเทศ
“สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกได้ตระหนักถึงปัญหาและความเร่งด่วนที่จะต้องช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 ขณะนี้ ธนาคารต่างๆ กำลังเร่งพิจารณาคำขออนุมัติสินเชื่อที่สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. ได้ คาดว่าภายใน 2 อาทิตย์นี้จะเห็นยอดตัวเลขสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นไปตามเป้า 1 แสนล้านบาท ใน 6 เดือนแรก”นายผยงกล่าว
สิ่งสำคัญเร่งด่วนขณะนี้คือ การทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าเงื่อนไขและมีศักยภาพเข้าถึงมาตรการสนับสนุนทางการเงิน ตอบโจทย์ตามความต้องการสภาพคล่องได้อย่างทั่วถึง ตรงจุด และทันเวลากับสถานการณ์ ทั้งหมดจึงเป็นภารกิจเชิงรุกที่ลดความบอบช้ำทางเศรษฐกิจ ช่วยเสริมสภาพคล่องควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าธุรกิจ ร่วมกับความช่วยเหลืออื่นๆของแต่ละธนาคารที่ออกแบบมาเพื่อบรรเทาปัญหาให้ภาคธุรกิจสามารถประคับประคองกิจการต่อไปได้ และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการพลิกฟื้นกิจการเมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิดเริ่มคลี่คลายเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระยะฟื้นตัวต่อไป
นอกจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูแล้ว ยังมีอีกมาตรการที่ผู้ประกอบการธุรกิจให้ความสนใจอย่างมาก คือ โครงการพักทรัพย์พักหนี้ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ปรกอบธุรกิจสามารถหยุดการดำเนินกิจการชั่วคราว เพื่อรอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยไม่สูญเสียกิจการไป แต่เนื่องจากการให้ความช่วยเหลือนี้เป็นเรื่องใหม่ มีรายละเอียดเงื่อนไขเฉพาะธนาคาร มีกระบวนการค่อนข้างซับซ้อน ต้องอาศัยความเข้าใจและความเห็นชอบของลูกหนี้และเจ้าหนี้ อีกทั้งยังมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับภาษี ค่าธรรมเนียมในการโอนทรัพย์เพื่อพักชำระหนี้ ซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีการปฏิบัติต่างๆ
“ขณะนี้ ธนาคารแต่ละแห่งกำลังดำเนินการในเรื่องของความชัดเจนแนวทางปฏิบัติ เช่น เรื่อง ภาษี ค่าธรรมเนียมการโอนเพื่อให้ถูกต้อง คาดว่าอีกไม่นานจะเห็นผู้ประกอบการ เช่น กลุ่มโรงแรม หรือกลุ่มธุรกิจการผลิตที่มีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างมาเป็นหลักประกัน ที่ยื่นขอเข้าโครงการนี้ทันท่วงที”นายพยงกล่าว
นอกจากนี้ จากการเรียนรู้ปัญหาและข้อจำกัดต่างๆที่เกิดขึ้นในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือรอบแรก ดังนั้น สมาคมธนาคารไทย เตรียมการและมีกลไกเพื่อเข้ามาช่วยการขับเคลื่อนมาตรการ ตั้งแต่การสื่อสารในทุกช่องทาง การให้ความรู้และทำความเข้าใจกับพนักงานธนาคารเพื่อตอบโจทย์กับผู้ที่สงสัย รวมถึงการเข้าไปพูดคุยกับลูกหนี้ปัจจุบันและลูกค้าที่สนใจจะเข้ามาขอรับความช่วยเหลือด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: