นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน อีก 3 เดือนข้างหน้า หรือเดือนสิงหาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 126.40 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากเดือนก่อน โดยยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการไหลเข้าของเงินทุน ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสามในไทย, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นนักลงทุนเกือบทุกกลุ่มอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ยกเว้นความเชื่อมั่นนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว" โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 3% อยู่ที่ระดับ 125.37, กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% อยู่ที่ระดับ 150.00, กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% อยู่ที่ระดับ 118.75 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติคงตัวที่ระดับ 120.00 ด้านหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) และหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
"ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างหนักในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนกังวลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มสูงเกิดคาด อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอาจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น พบคลัสเตอร์การระบาดใหม่หลายแห่งในกรุงเทพ และความล่าช้าของการกระจายวัคซีนขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลมูลค่ารวม 250,000 ล้านบาทที่ทำให้สิ้นเดือนพฤษภาคมดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,593.59 จุดได้"
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน และยุโรป จากการทยอยเปิดประเทศหลังจากประชาชนจำนวนมากได้รับวัคซีนแล้ว ซึ่งจะทำให้ภาคการส่งออกไทยได้อานิสงส์ไปด้วย การติดตามผลการประชุมธนาคารกลางในยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่นและอังกฤษ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย อาทิ มาเลเซีย เวียตนาม
ขณะที่ ปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การสรรหาและแจกจ่ายวัคซีนในประเทศให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนและจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ ผลการพิจารณา พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติม วงเงิน 500,000 ล้านบาท และผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้
"แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่ายังมีทิศทางที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,600-1,650 จุด แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นคงไม่มากเหมือนกับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากยังคงติดตามการฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 และการเปิดประเทศเพื่อที่จะรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ทั้งนี้ หากภาพรวมมีความชัดเจนแล้ว จะกลับทบทวนเป้าหมายดัชนีปี 2564 อีกครั้ง"