ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาปีกว่า หลายคนอาจจะกำลังระส่ำกับรายได้ที่ลดลง แต่ไม่ใช่กับบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ภายใต้การกุมบังเหียนของนาย สารัชถ์ รัตนาวะดี แน่นอน เพราะทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ
กัลฟ์ คือหนึ่งในบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่กระจายการลงทุนออกไปจากธุรกิจหลัก โดยแยกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า (Power Generation Business), ธุรกิจก๊าซ (Gas Business), ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Business), ธุรกิจพลังงานน้ำ (Hydropower Business) และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค (Infrastructure & Utilities Business) และยังมีการเข้าลงทุนและซื้อหุ้นในบริษัทอื่นต่อเนื่อง
ล่าสุด แม้กัลฟ์จะอยู่ระหว่าง การทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ INTUCH และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC โดยเป็นการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) โดยได้เริ่มทำเทนเดอร์ฯ หุ้นทั้ง 2 พร้อมกันไปเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 โดยระยะเวลาทำคำเสนอซื้อ INTUCH อยู่ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 4 สิงหาคม 2564 ราคาเสนอซื้อหุ้นละ 65.00 บาท
ส่วน ADVANC อยู่ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 13 สิงหาคม 2564 ในราคาหุ้นละ 120.93 บาท โดยจำนวนหุ้นสามัญ INTUCH ที่กัลฟ์จะลงทุน ทั้งการทำเทนเดอร์ฯ หรือซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีจำนวนไม่เกิน 2,599.63 ล้านหุ้น หรือ 81.07% และคาดว่า จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2564
กัลฟ์ ยังไปปรากฎชื่อในสำนักข่าวต่างประเทศว่า นายสารัชถ์ ยังได้จับมือกับบริษัท คาร์กิลล์ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารเกษตรของสหรัฐ ร่วมลงทุนในการทำข้อตกลงควบรวมกิจการกับบริษัทโลคัล บาวติ กรุ๊ป (Local Bounti Group) บริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ที่คาดว่า จะมีมูลค่าสูงถึง 1,100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท
โดยบริษัทคาร์กิลล์ มีแผนที่จะให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการขยายกิจการของบริษัทโลคัล บาวติ กรุ๊ป
บริษัทโลคัล บาวติ ที่นายสารัชถ์ จะเข้าลงทุน ดำเนินธุรกิจปลูกผักสด Organic ที่มีความสดและ ใช้ระบบเทคโนโลยี Stack&Flow และการปรับแต่งพันธุกรรม (Genetics) ของแต่ละประเภทผักในระบบการปลูกแบบ Greenhouse เพิ่มประสิทธิภาพการปลูกผักได้สูงกว่าฟาร์มทั่วไปถึง 150-200% และและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วกว่าฟาร์มทั่วไปโดยเฉลี่ยถึง 40%
ตั้งเป้ามีพื้นที่ฟาร์มปลูกผัก จำนวน 8 ฟาร์มภายในปี 2568 จะช่วยให้เกิดรายได้ประมาณ 462 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยมีร้านค้าขายปลีกที่วางจำหน่ายสินค้าในเครือข่ายกว่า 100 สาขาทั่วทั้งสหรัฐฯ รวมถึงมีบริการขนส่งสินค้าแบบ Door-to-Door ถึงหน้าประตูบ้านลูกค้า
ยังไม่รวมถึงช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 ที่พบว่า หลังการแจ้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX หลังปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น 7 พฤษภาคม 2564 ปรากฎว่า มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น
โดยมีบริษัท กัลฟ์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 5 ใน GULF รวมถึงมีนายสารัชถ์ รัตนาวะดี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นใน KEX คิดเป็นสัดส่วน 48.72 ล้านหุ้น หรือ 1.49 % และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในอันดับที่ 3
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบปีนี้ กำลังบ่งบอกให้เห็นถึงว่า นายสารัชถ์ กำลังใช้ศักยภาพของบริษัท GULF แสวงหาลู่ทางและโอกาสการลงทุนใหม่ๆ สอดคล้องกับยุคสมัยหรือนวัตกรรมที่เปลี่ยนไป รวมถึงการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจพลังงานไปสู่ธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น
มีตัวอย่างให้เห็น กรณี การเข้าสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 โครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) นอกเหนือจากธุรกิจหลักด้านพลังงาน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,693 วันที่ 4 - 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564