นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อยที่ถูกผ่อนผันในระดับ 0.11% สำหรับนักลงทุนที่มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือนนั้น ขณะนี้ต้องติดตามความคืบหน้า เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจน ทั้งนี้ มองว่าหากมีการเก็บภาษีจริง จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแน่นอน เพราะจะทำให้ต้นทุนการซื้อขายสูงขึ้น ซึ่งตลท.ได้ให้ข้อมูลกับทางผู้ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีของตลาดทุนทั่วโลกนั้นมีหลายประเภท เช่น Transaction tax, Dividend tax, Capital gains tax เป็นต้น โดยการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับสภาวะและสถานการณ์ของประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว
ขณะที่ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังปีนี้ แนะนำนักลงทุนให้จับตาใน 2 ปัจจัยหลัก โดยปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับอัตราดอกเบี้ย จะเป็นตัวชี้วัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านปัจจัยในประเทศ ได้แก่ ทิศทางการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.) ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ลากยาวต่อเนื่อง มองว่าหลายบริษัทมีการปรับตัว แนะนำให้โฟกัสในบจ.ที่มีการปรับตัวและมีแผนรองรับกับสถานการณ์ไว้อยู่แล้ว นอกจากนี้ หลายบริษัทประมาณ 40% มีการส่งออกหรือมีการทำกิจกรรมทางธุรกิจกับทางต่างประเทศ หากมีการเชื่อมโยงไปกับต่างประเทศได้เร็วก็จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทนั้นๆ
สำหรับการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนใหม่ (ไอพีโอ) โดยปกติในครึ่งปีหลังจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งตลาด SET และ mai เฉลี่ยที่ 40-50 บริษัท ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้จะอยู่ในระดับเดียวกับปี 2563 ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวมของไอพีโออยู่ที่ประมาณ555,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกทำได้แล้วที่ 341,000 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนที่เหลือคาดว่าจะทยอยเข้ามาในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะช่วงในไตรมาส 4 ปี 2564 คาดว่าจะเห็นการเข้ามาจดทะเบียนมากที่สุด