ความจริงเรื่องภาษียาสูบ ก่อนจะมีผลบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2564

09 ก.ค. 2564 | 11:14 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2564 | 22:51 น.

ความจริงเรื่องภาษียาสูบ ก่อนถึงบทสรุป ที่กรมสรรพสามิต คาดว่า จะมีผลบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2564 บทความ โดย ศาสตราจารย์ ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ใกล้ถึงเวลาที่กระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตจะสรุปผลการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ ตามที่ได้เคยประกาศไว้ว่า โครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบใหม่น่าจะมีผลบังคับใช้ได้ก่อน 1 ตุลาคม 2564

 

ผมในฐานะที่ได้มีโอกาสทำงานวิจัยเกี่ยวกับนโยายภาษียาสูบมาพอสมควร ขอนำสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวนโยบายภาษีสรรพสามิตยาสูบของไทยในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนที่สนใจในเรื่องดังกล่าว ดังนี้

 

ภาษีบุหรี่ถือเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้เพิ่มราคาของสินค้ายาสูบ ซึ่งมีโทษต่อสุขภาพของประชาชน (Health Tax) และยังเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ภาษีเข้ารัฐด้วย

 

อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไทย การตัดสินใจกำหนดนโยบายภาษียาสูบยังมีปัจจัยด้านสังคมและการเมือง รวมทั้งปัจจัยด้านการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศเข้ามามีบทบาทค่อนข้างสูง และด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้นโยบายภาษียาสูบของไทยมีช่องโหว่ทางภาษีหลายจุด ได้แก่

 

1. ภาษียาเส้นยังอยู่ในระดับที่ตํ่ามาก เพราะรัฐมองว่า ยาเส้นเป็นสินค้าสำหรับผู้มีรายได้น้อยและถูกผลิตโดยผู้ประกอบการท้องถิ่น ทำให้ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา รัฐขึ้นภาษียาเส้นแค่ 2 ครั้ง ในขณะที่ขึ้นภาษีบุหรี่เกือบ 17 ครั้ง แม้ว่ายาเส้นจะมีอันตรายไม่น้อยไปกว่าบุหรี่

 

โดยการวิจัยของผมพบว่า ถ้าภาระภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ยอดขายยาเส้นจะเพิ่มขึ้น 4% สอดคล้องกับยอดขายยาเส้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหลังการเพิ่มขึ้นของภาษีบุหรี่ในปี 2560

2. การกำหนดภาษีมูลค่าบุหรี่แบบ 2 อัตรา ที่ร้อยละ 20 บาท สำหรับบุหรี่ไม่เกิน 60 บาท และ 40 % สำหรับบุหรี่ราคาเกิน 60 บาท เพราะรัฐต้องการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศที่ส่วนใหญ่ขายบุหรี่ในราคาที่ตํ่ากว่า 60 บาท

 

แต่โครงสร้างภาษี 2 อัตรากลับไปสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการต่างชาติหันมากำหนดราคาบุหรี่ไม่ให้เกิน 60 บาทต่อซอง เพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่า

 

จนส่งผลให้เกิดการแข่งขันราคาระหว่างบุหรี่ไทยและบุหรี่นอกรุนแรงขึ้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคจากสูบบุหรี่ราคาแพงมาสูบบุหรี่ราคาถูกที่เสียภาษีในอัตราถูกกว่าเพิ่มขึ้น

 

3.ภาระภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการขยายตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคหลายเท่าตัว ในปี 2560 บุหรี่ราคาถูกที่สุดในตลาดมีราคาเพิ่มขึ้น 50% ในขณะที่การขยายตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่ที่ 5%

 

การเพิ่มขึ้นของราคาบุหรี่ในอัตราที่สูงกว่ากำลังซื้อมาก ได้ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการเปลี่ยนไปสูบสินค้าทดแทนที่ยังคงมีราคาถูก และเกิดแรงต่อต้านภาคอุตสาหกรรมยาสูบ

 

โดยเฉพาะชาวไร่ยาสูบได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการถูดลดการรับซื้อใบยาสูบจากผู้ประกอบการในประเทศโดยส่งผลให้การขึ้นภาษีครั้งต่อไปทำได้ยากขึ้น

 

สถานการณ์ข้างต้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกที่ โดยทำให้นโยบายภาษีบุหรี่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรทั้งในด้านรายได้และสุขภาพ องค์กรระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษียาสูบเช่น องค์การอนามัยโลกและธนาคารโลก จึงได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายภาษียาสูบไว้ว่า

 

ควรเก็บภาษีในสินค้าทดแทนที่มีอันตรายเหมือนกันในอัตราที่เท่าเทียมกัน ควรใช้อัตราภาษีอัตราเดียวสำหรับผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทเดียวกัน และควรปรับขึ้นอัตราภาษียาสูบอย่างสมํ่าเสมอตามการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อของผู้บริโภค

ความจริงเรื่องภาษียาสูบ ก่อนจะมีผลบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2564

ข้อเสนอแนะข้างต้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะดำเนินการให้เกิดขึ้น แต่กระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตจำเป็นต้องก้าวให้พ้นกับกับดัก วงจรเดิมๆของการกำหนดนโยบายภาษีบุหรี่ของไทย ที่ได้พิสูจน์แล้วว่า

 

นโยบายภาษีบุหรี่จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างวัตถุประสงค์หลักได้แก่ ด้านสุขภาพและรายได้รัฐ และวัตถุประสงค์รอง ได้แก่ สังคม การเมือง และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาสูบ เพื่อให้สามารถสามารถลดแรงต้านจากอุตสาหกรรมยาสูบ โดยเฉพาะชาวไร่ยาสูบ และสามารถกำหนดนโยบายภาษียาสูบที่เหมาะสมได้

 

ทางออกที่ดีที่สุดคือ การกำหนดโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการกำหนดอัตราภาษีที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ และมีการปรับขึ้นอัตราภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไป

 

สอดคล้องกับการขยายตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภค ไม่ส่งเสริมพฤติกรรมผู้บริโภคให้หันไปหาสินค้าทดแทนทั้งยาเส้นและบุหรี่เถื่อน เพื่อลดแรงต่อต้าน สร้างการยอมรับ และแรงสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอุตสาหกรรมยาสูบในระยะยาว

 

แนวทางดังกล่าวอาจดำเนินการได้โดยการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ให้เหมาะสมโดยการรวมอัตราภาษีมูลค่า 2 อัตรา และเปลี่ยนมาใช้อัตราภาษีมูลค่าแบบอัตราเดียวทันที และกำหนดอัตราภาษีในระดับที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยต้องไม่สูงจนเกินไปเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2560

 

ตัวอย่างเช่น ที่ 23% โดยภายใต้อัตราภาษีเดียวที่ 23 % บุหรี่ส่วนใหญ่ในตลาดน่าจะต้องขยับราคาขึ้นจาก 60 บาทต่อซอง ไปขายที่ 63 ต่อซอง เพิ่มขึ้น 5% โดยน่าจะเป็นระดับที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค (วัดจากการขยายตัวของ Nominal GDP per capita) ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นเพียง 4% เท่านั้น 

 

และไม่น่าจะมีผลต่อการขยายตัวของบุหรี่เถื่อนหรือก่อให้เกิดแรงต้านจากภาคอุตสาหกรรมยาสูบ

 

นอกจากอัตราภาษีที่สูงขึ้นในระดับที่เหมาะสมจะข่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นตามมาด้วยแล้ว ราคาบุหรี่ที่มีความหลากหลายมากขึ้นในช่วงตั้งแต่ 63 บาทขึ้นไป จะส่งผลดีในทางอ้อมต่อผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการในประเทศทั้งในด้านยอดขายและกำไรตามมา

 

โดยเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการในประเทศสามารถแข่งขันได้ในระยะยาวภายใต้โครงสร้างภาษีที่มีประสิทธิภาพทั้งในด้านรายได้และสุขภาพของประชาชน              

 

รัฐต้องกล้าที่จะเพิ่มอัตราภาษียาเส้นควบคู่ไปด้วยกับการปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ในอนาคตด้วย การปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่อย่างเดียวโดยไม่ปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้นนั้นจะไม่ช่วยลดการบริโภคยาสูบในภาพรวมได้อย่างแน่นอน และยังจะส่งผลกระทบต่อรายได้รัฐให้ลดลลงตามมาอีกต่างหาก

 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากงานวิจัยของผมพบว่า หากมีการขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ 1% รัฐจำเป็นต้องมีการขึ้นอัตราภาษียาเส้น 15.3% เป็นอย่างน้อยไป พร้อมกัน เพื่อลดพฤติกรรมการบริโภคสินค้าทดแทนในตลาดยาสูบ

 

หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,694 วันที่ 8 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564