นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า การระบาดของโควิด-19 ในประเทศและการใช้มาตรการ ล็อกดาวน์ ส่อแววยืดเยื้อ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ยังพุ่งขึ้นไม่หยุด ล่าสุดทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.8 หมื่นคนต่อวัน สร้างความกังวลมากขึ้นต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
บล.ทิสโก้ประเมินว่า กรณีฐาน (Base Case) จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จะขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1.5-1.8 หมื่นคนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนที่จะทรงตัวในช่วงกลางเดือนสิงหาคม และเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวลดลงในช่วงปลายเดือนสิงหาคมส่งผลให้มาตรการล็อกดาวน์ น่าจะเริ่มผ่อนคลายได้บางส่วนในเดือนกันยายนเป็นต้นไป หากเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะไม่เติบโต หรือ +0% และคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยจะทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,500-1,510 จุด
กรณีแย่ (Worst Case) หากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทะลุหลัก 20,000 คนต่อวัน และมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อกินเวลานานจนถึงเดือนกันยายน มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยถดถอย 2 ปีซ้อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยจะมีโอกาสสูงที่จะปรับตัวหลุดระดับ 1,500 จุด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีใด ๆ จะต้องติดตามการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยลดทอนผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงได้
สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไตรมาส 2/2564 จากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) 164 บริษัท (คิดเป็น 82% ของมูลค่าตลาดรวม, ข้อมูล ณ วันที่ 30 กรกฎาคม) คาดว่า จะมีกำไรสุทธิรวม 2.02 แสนล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่อ่อนตัว -8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
การเติบโตก้าวกระโดด YoY นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ๆ เช่น ENERG, BANK, CONMAT, PETRO และ COMM จากฐานกำไรที่ต่ำปีที่แล้วจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบเพื่อควบคุมการระบาดรอบแรก และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดมีกำไรเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ คือ FOOD และ AGRI ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ขยายตัวดีจากการเปิดเศรษฐกิจในต่างประเทศ และราคายางปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้ง HELTH ที่ได้ประโยชน์จากการระบาดทั้งการตรวจหาเชื้อและจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากการใช้มาตรการควบคุมการระบาดรอบ 3 เช่น MEDIA, TRANS และ TOURISM ส่วนใหญ่ยังมีผลการดำเนินงานที่ไม่ดีอยู่
“หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 เราคาดว่า จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรของบจ.รอบใหม่ ซึ่งนอกจากสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากการล็อกดาวน์แล้ว ยังเป็นผลจากคาดการณ์กำไรของตลาดในช่วงครึ่งปีแรกที่คิดเป็นสัดส่วน 46% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2564 หรือยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประมาณการทั้งปีนี้ ซึ่งอาจจะดูสูงเกินไปเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน”นายอภิชาติกล่าว
ส่วนปัจจัยการเมืองช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ แม้จะเข้มข้นไม่แพ้สถานการณ์ระบาดที่รุนแรงเลย เพราะขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลเกี่ยวกับการควบคุมการระบาดและการบริหารจัดการวัคซีน แต่ บล.ทิสโก้มองว่า ยังไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ โดยเชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะช่วยกันประคับประคองให้ภารกิจสำคัญสำเร็จลุล่วงก่อน
ทั้งการระบาดที่ควบคุมได้, ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในเดือน ก.ย. และสำคัญที่สุดคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ ซึ่งในประเด็นหลังอาจต้องใช้เวลาจนถึงต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย เพราะนอกจากจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบการเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ด้วย
สำหรับดัชนีหุ้นไทยเดือนสิงหาคม ยังมีแนวโน้มแกว่งซิกแซกลงไม่เปลี่ยนแปลง แนะนำกลยุทธ์การทยอยรับแบบ “แบ่งไม้ซื้อ” ให้ความสำคัญที่บริเวณ 1,500-1,510 จุด และกรณีแย่อาจได้ซื้อลึกถึง 1,480 จุด โดยหุ้นน่าลงทุนเดือนนี้จะเน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรจะดี มีปันผลจ่ายระหว่างกาล แนะนำคือ BEC, BJC, HANA, JMT, MAKRO, RJH และ SPALI