นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสถาบันการเงินและกระทรวงการคลัง เพื่อจัดทำมาตรการจูงใจ ให้สถาบันการเงินต่างๆ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้มีภาระผ่อนจ่ายให้สอดคล้องกับรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้เป้าหมายหลักคือ ต้องการให้สถาบันการเงินลดภาระหนี้ให้กับลูกค้ามากขึ้น ทั้งการปรับลดหนี้(แฮร์คัท) หรือ ลดดอกเบี้ยลง นอกเหนือจากการยืดเวลาชำระหนี้ออกไปเพียงอย่างเดียว เพราะประเมินจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรงและคาดว่าจะยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้
ดังนั้นมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น และ แพคเกจแบบครั้งคราว 2-3 เดือนที่ออกมาก่อนหน้านี้ หรือที่กำลังดำเนินการอยู่ อาจไม่เพียงพอแล้วต่อสถานการณ์เศรษฐกิจเปราะบางและความเดือดร้อนของลูกค้ามากขึ้น แต่มาตรการที่ออกมาจะต้องเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งไม่กระทบต่อสถานะการเงินของธนาคารและช่วยเหลือลูกค้าในระยะยาวได้แท้จริง
"ธปท.จะเร่งรัดให้ได้ข้อสรุปให้เร็วที่สุด ซึ่งมาตรการจูงใจกับสถาบันการเงินขณะนี้คือผ่อนผันการจัดชั้นหนี้ ที่ครบอายุในสิ้นปีนี้ ดังนั้นจะต้องมีมาตรการออกมาต่อเนื่อง เพื่อให้สถาบันการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้า ซึ่งประเด็นที่สถาบันการเงินกังวลคือ ระดับหนี้เสีย เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับการกันกันสำรองด้วย"นายรณดลกล่าว
สำหรับแนวทางการปรับโครงสร้าง จะให้สถาบันการเงินพิจารณาตามความเหมาะสมกับประเภทธุรกิจและการฟื้นตัวหลังจากโควิด-19 คลี่คลายแท้จริง เช่น ภาคท่องเที่ยวและโรงแรม คาดว่า กว่าจะฟื้นตัวก็ 2-3 ปี ส่วนธุรกิจบริการหรือร้านอาหารก็อาจใช้เวลาน้อยกว่า ดังนั้น การปรับโครงสร้างหนี้ต้องสามารถตอบโจทย์และช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างแท้จริง
ส่วนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการสินเชื่อฟื้นฟูกิจการ ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 พบว่า ปล่อยกู้แล้วประมาณ 9 หมื่นล้านบาท จำนวน 2.9 หมื่นราย ในส่วนหนี้เป็นเอสเอ็มอี 40% และธุรกิจในต่างจังหวัดถึง 68% ส่วนโครงการพักทรัพย์พักหนี้ อนุมัติแล้ว 8,991 ล้านบาท ลูกหนี้ 50 ราย