นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งคาดว่า จะครอบคลุมในระดับที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 นี้ จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่า COVID-19 สายพันธ์เดลต้าที่กำลังระบาดในบางประเทศขณะนี้ อาจส่งผลให้แผนการเปิดประเทศล่าช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ แต่ยังคงมองว่า เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนแต่แนะนำให้นักลงทุนทำการลงทุนด้วยความระมัดระวัง โดยแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์เพื่อเป็นการลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยรวม ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนในรูปแบบ Risk Target Fund ตามระดับความเสี่ยง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แนะนำกองทุนผสม 3 กองทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงของตนเอง และสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ฯลฯ พร้อมทั้งกำหนดมูลค่าความเสี่ยง (VaR หรือ Value-at-Risk) ให้อยู่ในกรอบที่กำหนด
ทั้ง 3 กองทุนนี้ นักลงทุนสามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย ประกอบด้วย
1.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน2 (SCBSMART2) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนดประมาณ -5% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25% และลงทุนเฉพาะในประเทศไทย
กองทุนนี้ได้เปิดให้นักลงทุนได้ลงทุนได้เลือกลงทุนถึง 3 Share Class ได้แก่ 1) SCBSMART2 - ชนิดจ่ายเงินปันผล 2) SCBSMART2A - ชนิดสะสมมูลค่า และ 3) SCBSMART2-SSF – ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน ซึ่งรวมถึงการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากการลงทุน
2.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 3 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSMART3) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -10% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 34% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 35% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
3.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 4 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSMART4) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -15% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 43% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 36% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ กองทุน SMART3 และกองทุน SMART4 อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงแรก ความกังวลต่อการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าจะมีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังคงทรงตัวในระดับสูง ทำให้เกิดการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการติดเชื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้นจนระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้ ขณะที่การกระจายการฉีดวัคซีนยังคงล่าช้าทำให้โอกาสการกลับมาเปิดประเทศในช่วงปลายปียังมีความท้าทายอยู่มาก
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนก.ค.การฉีดวัคซีนจะมีการเร่งตัวขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาส3 และคาดว่า จะเป็นการสร้างบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 แต่ปัจจัยการลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และเสถียรภาพของรัฐบาลจากการชุมนุมประท้วงที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับตราสารหนี้ เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวได้ปรับลดลงมาค่อนข้างมาก โดยล่าสุดอยู่ในกรอบ 1.3 – 1.4% ซึ่งคาดว่า ผลตอบแทนระยะยาวอาจปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน FED เริ่มพิจารณาการลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ (QE) และแนวโน้มการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
“ปัจจัยเหล่านี้ จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศหลัก ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นและยังคงเป็นปัจจัยบวกในระยะถัดไป"นายณรงค์ชัยกล่าว
ส่วนตลาด REITs และ Infra จะสามารถกลับมา outperform ตลาดหุ้นโลกด้วยธีม recovery จากภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นจากปัจจัยหลัก ๆ เช่น การเปิดเมืองในบางประเทศที่มีแนวโน้มเป็นไปค่อนข้างเร็ว รวมถึงผลประกอบการของ REIT ทั่วโลกที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ปี 2563 กำลังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากการปรับประมาณการ Earnings ของ REIT ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown