ธปท. ประกาศสถานะ “ทีเอ็มบีธนชาต” จัดเข้ากลุ่ม D-SIBs หรือธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ สะท้อนการเป็นธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้ง“ธุรกรรมทางการเงินมีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงิน -เป็นผู้ให้บริการที่สำคัญต่อฐานลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของระบบการเงินและประเทศ”
ธปท. ประกาศสถานะ “ทีเอ็มบีธนชาต” จัดเข้ากลุ่ม D-SIBs หรือธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ หลังเสร็จสิ้นการรวมกิจการอย่างสมบูรณ์ได้ตามแผน ส่งผลให้ธนาคารมีขนาดสินทรัพย์ ฐานลูกค้า และธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวข้องกับระบบเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยธนาคารพร้อมเดินหน้ายกระดับบริการและส่งมอบประสบการณ์ทางการเงิน เพื่อสร้างชีวิตทางการเงิน (Financial Well-being) ที่ดีขึ้นให้คนไทย ทั้งวันนี้และอนาคต
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เปิดเผยว่า จากการผสานจุดแข็งของสองธนาคารรวมเป็น “ทีเอ็มบีธนชาต” โดยมีพันธกิจหลักในการเดินหน้ายกระดับบริการและส่งมอบประสบการณ์ทางการเงิน เพื่อสร้างชีวิตทางการเงิน (Financial Well-being) ที่ดีขึ้นให้กับคนไทย
ทั้งนี้ภายหลังจากความสำเร็จในการรวมกิจการได้อย่างสมบูรณ์ในครั้งนี้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศให้ทีเอ็มบีธนชาตเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ (Domestic systemically Important bank: D-SIBs) เนื่องจากประเมินแล้วว่าทีเอ็มบีธนชาตเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ มีธุรกรรมทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินมาก รวมถึงเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่สำคัญต่อฐานลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของระบบการเงินและประเทศ
“ที่ผ่านมา ธนาคารให้ความสำคัญกับการเติบโตธุรกิจอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงและสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับอุตสาหกรรมธนาคารและระบบการเงินไทย ดังนั้น นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินมาโดยตลอด สะท้อนให้เห็นได้จากระดับเงินกองทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยู่ที่ 19.6% ในปัจจุบัน ซึ่งสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของกลุ่มธนาคาร D-SIBs และสูงกว่าเกณฑ์ปัจจุบันที่ ธปท. กำหนดอัตราขั้นต่ำที่ 11.0% ซึ่งเพียงพอต่อการรองรับการดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่มตามมาตรการที่กำหนดในการกำกับดูแล D-SIBs ที่ 12.0%”
นอกจากนี้ การรวมเป็นหนึ่งเดียวของทีเอ็มบีธนชาตเพื่อเป็นธนาคารที่แข็งแกร่งขึ้น ยังได้เพิ่มศักยภาพให้ทีมงานสามารถทำงานได้เต็มกำลังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ประชาชนได้รับผลกระทบ ธนาคารก็พร้อมส่งต่อแนวคิดและโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกค้าให้ก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19 ไปด้วยกัน