อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.68 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่า”ลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ในช่วงระหว่างวันเงินบาทอาจผันผวนได้ หากนักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง ทยอยขายทำกำไรสถานะถือครองเงินบาท จากการเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ โดยรวม เรามองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ Sideways ที่กว้าง
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศ ที่ล่าสุดทาง ศบค. รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเริ่มออกมาเตือนให้ระวังการระบาดระลอกใหม่ในช่วงเดือนตุลาคม หากประชาชนเริ่มประมาทในการป้องกันตัวเองในช่วงการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดโดยรวมจะรอคอยผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป เนื่องจากจะเป็นการประชุมที่อาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดคิวอีและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้ ทำให้แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ หรือ ยูโร จะยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
ทั้งนี้ถ้าหากผู้ประกอบการมีความไม่มั่นใจต่อแนวโน้มค่าเงิน ก็สามารถใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options ในการเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.75 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาอยู่ในโหมดระมัดระวังตัวมากขึ้น จากความกังวลว่า ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็อาจส่งผลกระทบให้ เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดยังมีความไม่แน่ใจในประเด็นการปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (คิวอี) ของ บรรดาธนาคารกลางหลัก อาทิ เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งตลาดจะจับตาการประชุม ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ เพื่อจับสัญญาณแนวโน้มการทยอยปรับลดคิวอี
ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรหุ้นในกลุ่ม Cyclical ในขณะที่ หุ้นในกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ สไตล์เติบโตแข็งแกร่ง (Growth stocks) สามารถปรับตัวขึ้นได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดมองว่า ผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ จะได้รับผลกระทบน้อยหรือแทบไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวเศรษฐกิจและปัญหาการระบาดระลอกใหม่ๆ
ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี Dowjones ที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยหุ้นในกลุ่ม Cyclical ปรับตัวลดลง -0.76% ส่วน ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลง -0.34% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.07% ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวลงราว -0.50% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอคอยผลการประชุม ECB ในวันพฤหัสฯ นี้ และมีการขายทำกำไรหุ้นออกมาบ้างก่อนการประชุมดังกล่าว
ในฝั่งตลาดบอนด์ มีความเคลื่อนไหวที่คึกคักมากขึ้น หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 10ปี ทั่วโลก ต่างปรับตัวสูงขึ้นราว 5-7bps นำโดยบอนด์ยีลด์ 10ปี ในฝั่งยุโรปที่ปรับตัวขึ้น ท่ามกลางความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดว่า ECB อาจเริ่มส่งสัญญาณทยอยปรับลดคิวอีลงในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้ หลังปัญหาการระบาดก็เริ่มคลี่คลายลง
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง และตลาดการเงินก็ดูไม่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง นอกจากนี้ในฝั่งสหรัฐฯ แรงกระเพื่อมจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10ปี ในฝั่งยุโรป ได้ช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้น 5bps สู่ระดับ 1.37% เช่นกัน
ทางด้านตลาดค่าเงิน ความไม่แน่นอนของตลาดการเงิน รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.53 จุด ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรได้ หากธนาคารกลางยุโรป (ECB) เริ่มส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องในการประชุม ECB วันพฤหัสฯ นี้
สำหรับวันนี้ เรามองว่า ความเคลื่อนไหวในตลาดการเงินอาจยังถูกกดดันด้วยภาวะระมัดระวังตัวของบรรดาผู้เล่นในตลาด ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสฯ โดยอาจเห็นแรงขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงได้บ้าง ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ยังมีโมเมนตัมหนุนอยู่จากภาวะระมัดระวังตัวของตลาด
ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ 32.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงท่ามกลางสัญญาณขายสุทธิพันธบัตรไทยต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงปรับตัวขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.60-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ รายงาน Beige Book ของเฟด และข้อมูลการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ