นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มาหารือขอลดการนำส่งรายได้ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว เข้ากองทุนเพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว เพื่อนำเงินไปใช้พัฒนาระบบข้อมูลต่างด้าวที่ทำงานในไทยกว่า 2.5 ล้านคน ให้มีความทันสมัย และเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ได้ดีขึ้น และลดปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปัญหาด้านความมั่นคงภายในประเทศ ตามมติ ครม.ที่เห็นชอบไปก่อนหน้านี้ โดยคลังให้กระทรวงแรงงานไปศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติมให้รอบด้าน เพื่อนำเสนอกลับมาให้พิจารณาอีกครั้ง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แนวคิดการใช้เงินกองทุนฯนั้น ต้องรอผลการศึกษาให้ชัดเจนซึ่งจะทราบผลภายใน 6 เดือน โดยเบื้องกระทรวงแรงงานได้เสนอให้แบ่งเงินจากการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวปีละ 500 ล้านบาท มาใช้พัฒนาข้อมูลแรงงานต่างด้าว และเชื่อมโยงระบบข้อมูลใหม่ ซึ่งจะทำให้มีการนำส่งเงินค่าธรรมเนียมลงทะเบียนต่างด้าวเข้ากองทุนฯ ลดลงจากปีละ 1,900 ล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 1,400 ล้านบาทต่อปี
ปัจจุบันระบบยืนยันตัวตนแรงงานต่างด้าวจะใช้แค่นิ้วมืออย่างเดียว แต่ระบบใหม่จะใช้ไบโอเมตริกซ์ พิมพ์รายนิ้วมือทั้ง 5 นิ้ว มีการสแกนใบหน้า สแกนม่านตา ซึ่งมีข้อมูลรายละเอียดเป็นรายบุคคลทั้งหมด ทำให้สามารถบ่งชี้ความเป็นตัวตนของแรงงาน โดยงานในส่วนนี้อาจต้องจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยทำ แต่มีข้าราชการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ดูแลระบบทะเบียนให้อยู่ ซึ่งหากระบบดังกล่าวยังช่วยแก้ไขปัญหา เช่น การกินค่าหัวคิว การตรวจสอบการกระทำผิดแรงงานต่างด้าว รวมถึงสวัสดิการการรักษาสุขภาพของแรงงานต่างด้าว ที่เจ็บป่วยในประเทศ
“ขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวที่ได้ลงทะเบียนถูกกฎหมายอยู่ในประเทศไทย 2.5 ล้านคน และมีรายได้ค่าธรรมเนียมการลงทะเบียนฯ คนละ 1,900 บาทต่อปี โดยปกติรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้น จะต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ และเป็นรายได้แผ่นดิน แต่เมื่อกระทรวงจำเป็นต้องปรับปรุงระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวใหม่ให้ทันสมัย โดยใช้ระบบไบโอเมตริกซ์ซึ่งมีมาตรฐานสากลมาใช้ อาจจะต้องนำรายได้จากค่าธรรมเนียมบางส่วนมาใช้แทน จึงต้องมาหารือกับกระทรวงการคลัง ที่เป็นผู้ดูแลทุนหมุนเวียน” นายสุชาติ กล่าว