บลจ.วรรณหนุนลงทุนนอก ลดค่าธรรมเนียม 3 กอง Flagship

07 ต.ค. 2564 | 12:04 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2564 | 19:04 น.

บลจ.วรรณ ชี้ระยะสั้นตลาดหุ้นโลกยังผันผวน จากแนวโน้มปรับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยง หลังเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ มองเป้าดัชนีปีนี้ 1,665 จุด แนะกระจายลงทุนหลากหลาย ดีเดย์ลดค่าธรรมเนียม 3 กองทุนเด่น

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) วรรณ จำกัดเปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวด้านนโยบายทางการเงินเป็นปัจจัยที่เข้ามากดดันการลงทุนในตลาดหุ้นระยะสั้น จากต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยมองว่า ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการลงทุนระยะกลาง-ยาวน้อยมาก โดยเฉพาะกับธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันและตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้คนและรูปแบบการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้โดดเด่นได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาพเศรษฐกิจที่ได้ทยอยกลับสู่ภาวะปกติ

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) วรรณ จำกัด

 

ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติในอดีตพบว่า การหยุดทำ QE ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงอยู่ในกรอบประมาณลบ 7-20% และใช้เวลาเพียง 2-5 เดือนในการฟื้นตัว นอกจากนี้ยังพบว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ดัชนี S&P500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีต 15-20% และมีเพียงแค่ 3 ครั้งที่ผลตอบแทนเป็นลบ จาก 13 ครั้งที่มีดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นนับตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งคิดเป็นโอกาสที่ตลาดหุ้นติดลบในช่วงดอกเบี้ยขึ้นเพียงแค่ 23% จึงมองว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินในระยะข้างหน้านี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวลสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว

ดังนั้น บริษัทยังคงแนะนำให้ลงทุนในระยะปานกลาง - ยาว  โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition period) แบบนี้ โดยมองว่า หุ้นกลุ่มเติบโต (Growth stocks) ยังคงความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะกลาง-ยาว จากแนวโน้มการเติบโตของรายได้และศักยภาพการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง โดยนักวิเคราะห์คาด EPS growth ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P500 ยังสามารถสร้างการเติบโตได้โดดเด่นที่สุดประมาณ 25.3% ในปีนี้และ 24.1% ในปีหน้า(2565)

 

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวในกรอบ เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 หลังรัฐบาลได้ทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งหากตัวเลขของผู้ติดเชื้อในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจจะต้องใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง

การจัดการการระบาด ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยหนุนความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และหนุน Sentiment การลงทุนในระยะข้างหน้า เนื่องจากบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยมีรายได้ที่ต้องพึ่งพากิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบออฟไลน์ หรือเรียกว่าหุ้นประเภท Old Economy

 

ดังนั้นมองไปข้างหน้า ปัจจัยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการจัดหาวัคซีนที่ประสิทธิภาพสูงได้อย่างเพียงพอกับจำนวนประชากรโดยเร็ว และความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนให้กับประชากรทั้งประเทศ เพราะหากล่าช้าจะทำให้โอกาสเปิดเมืองและเปิดประเทศอีกครั้งเป็นไปได้ยาก หรือหากรีบเปิดแต่ผู้ติดเชื้อกลับมาสูงอีกก็จำเป็นต้องล็อกดาวน์ ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยภาคส่งออกเท่านั้น ภาคบริการยังคงหยุดชะงัก โดยบริษัทคงเป้าหมายดัชนี SET Index ที่ 1,665 จุด และเน้นสะสมเมื่อราคาหุ้นย่อตัวลง

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การจัดพอร์ตของผู้ลงทุนสอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนดังกล่าว บริษัทแนะสัดส่วนลงทุนในตราสารทุนที่ 50% ของพอร์ต ซึ่งตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคมนี้ บริษัทได้ลดค่าธรรมเนียมกองทุน Flagship ของบริษัท 3 กองทุนที่ลงทุนในกองทุนหลัก Baillie Gifford Long-term Global Growth ได้แก่ กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG) กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-UGG-SSF) และกองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (ONE-UGERMF)

 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนไปตลาดหุ้นต่างประเทศ สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะข้างหน้า ไปกับหุ้นที่มีการเติบโตโดดเด่นและเป็นผู้นำในธุรกิจระดับโลก ซึ่งบริษัทมองว่า ธุรกิจที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วเมื่อเจอความผันผวนของตลาดในระยะสั้น โดยกองทุนทั้ง 3 กองทุนของบริษัท เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถถือลงทุนในระยะปานกลาง ถึง ยาว รวมถึงนักลงทุนที่สนใจลงทุนเพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนทางภาษี