ตลาดหุ้นไทยปิดภาคเช้า (12 ต.ค.64 )เคลื่อนไหวในแดนบวก รับแรงซื้อหนุนจากปัจจัยบวกหลังนายกรัฐมนตรี ประกาศเปิดประเทศวันที่1 พฤศจิกายน 2564 รับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัว แต่มีเงื่อนไขการฉีดวัคซีนและจํากัดจํานวนประเทศ หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,640.77 จุด เพิ่มขึ้น 7.33 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.45% มูลค่าซื้อขาย 55,071.80 ล้านบาท โดยดัชนีปรับสูงสุดอยู่ที่ 1,646.85 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 1,637.49 จุด
ขณะที่การเคลื่อนไหวของ"หุ้นธีมเปิดประเทศ"หลายตัวปรับขึ้นแรง ดังนี้
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรี ประกาศเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น และผลบวกต่อกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง-เปิดประเทศ เพราะแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่ต้องกักตัวเกิดขึ้นเร็วกว่าคาดการณ์ จากที่คาดว่าจะเริ่มในปี 2565
หุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์ ได้แก่ หุ้นท่องเที่ยว วันนี้คาดว่าจะปรับขึ้นบวกยกแผง นำโดยกลุ่มโรงแรมที่ได้ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด จากสัดส่วนพอร์ตโรงแรม 90% ที่อยู่ในไทย รองลงมา บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ตามลำดับ
ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มขนส่ง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) กลุ่มค้าปลีก บมจ.ซีพี ออลล์ ( CPALL ) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์เลือกหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็นหุ้นเด่น จากที่มีพอร์ตลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวมากที่สุด
นักวิเคราะห์ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ มองในภาพรวมมาตรการ"คลายล็อก-เปิดประเทศ" แบบไม่ต้องกักตัวว่า ถือเป็นความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2564 ที่ต้องการเปิดประเทศภายใน 120 วัน หลังจากที่การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้ามากขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ช่วยทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น และลดการสูญเสียชีวิตลง
มองเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ และคาดตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองในทางบวก SET Index มีโอกาสแกว่งขึ้นทดสอบระดับ 1650- 1660 เป็นเป้าแรก ซึ่งเป็นบริเวณจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ และระดับ 1680-1700 เป็นเป้าถัดไป ซึ่งเป็นกรอบด้านบนสุดสำหรับปีนี้ที่เรามองไว้ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. (ดูรายละเอียดย้อนหลังได้ใน TISCO Smart Tactics ฉบับเดือน ก.ย.)
หุ้นธีม “Re-opening” ที่เลือกได้แก่ AOT (เป้าพื้นฐาน 63 บาท), ADVANC (205 บาท), BDMS (26 บาท), BEM (9.8 บาท), BTS (10.3 บาท), CPALL (70 บาท), CPN (61 บาท), CRC (40 บาท), MINT (35 บาท), ROJNA (7.7 บาท), SPA (10 บาท), WHA (3.7 บาท)
นอกจากนี้ โมเมนตัมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัว คาดจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มการเงิน ชอบ BBL (158 บาท), KBANK (145 บาท), KKP (72 บาท), TTB (1.51 บาท), MTC (68 บาท)
SCBS มองหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อัพไซด์จำกัด
บทวิเคราะห์ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS ) ระบุว่า มาตรการ "คลายล็อก-เปิดประเทศ" ที่จะเริ่ม 1 พฤศจิกายน 2464 นี้ เรามองบวกต่อความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทาง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองที่ว่าความเร็วในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกนั้นยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากความต้องการเดินทางมายังประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ระดับต่ำในประเทศไทย ( ประชากรไทยได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว 48.7% และเข็มที่สอง 32.5% ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2564 ) และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของแต่ละประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา ได้ยกระดับคำเตือนการเดินทางมายังประเทศไทย เป็นระดับ 4 โดยแนะนำให้พลเมืองชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางมายังประเทศไทย สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และจีนยังคงมาตรการป้องกันและควบคุมชายแดนอย่างเข้มงวด
บล.ไทยพาณิชย์ ยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยไว้ที่ 3 แสนคนในปี 2564 และ 8 ล้านคนในปี 2565
พร้อมคงมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มท่องเที่ยว ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโดยรวมรีบาวน์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และอัพไซด์มีจำกัดเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของเรา บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวสะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม เล็งเห็นโอกาสเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้น AWC, ERW, AOT และ MINT เนื่องจากหุ้นเหล่านี้ยังซื้อขายต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ระบาด และมีมุมมองระมัดระวังต่อ AAV และ CENTEL เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 ระบาด สะท้อนให้เห็นมุมมองเชิงบวกของตลาดได้สะท้อนในราคาหุ้นไปมากแล้ว