นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยกรณีราคาน้ำมันปรับราคาสูงขึ้น ไม่ได้เกิดจากการเก็บสรรพสามิตน้ำมันเพิ่ม แต่เป็นการปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่โครงสร้างภาษีน้ำมันเป็นการเก็บในอัตราแบบตายตัว ที่เก็บตามปริมาณ คิดตามจำนวนลิตร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน แม้ว่าจะราคาแพงขึ้นหรือจะถูกลง อัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันก็เท่าเดิม ดังนั้นการที่น้ำมันแพงไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเลย
อย่างไรก็ตามกรมสรรพสามิต มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีน้ำมัน ประมาณกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้ภาษีทั้งหมดของกรม จึงถือว่าเป็นรายได้หลัก ทั้งนี้การที่ไม่พิจารณาลดภาษีน้ำมัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้แต่อย่างใด
“การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงนั้น คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ออกมติไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นแนวทางที่ดี เหมาะสม และเห็นแล้วว่าราคาน้ำมันเริ่มลดลงมาและทรงตัว โดยมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทำหน้าที่ เพื่อบริหารจัดการเรื่องต่างๆ จากปัญหาน้ำมัน โดยเฉพาะการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ไม่ให้ ถูกหรือแพงจนเกินไป ส่วนกระทรวงการคลัง ก็มีหน้าที่ต้องติดตามดูสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด” นายลวรณ กล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวด้วยว่า ในการทบทวนโครงสร้างภาษีน้ำมัน ไม่ได้กำหนดช่วงเวลาที่ตายตัว แต่หากฝ่ายนโยบายพบว่าโครงสร้างภาษีที่ใช้อยู่ไม่เหมาะสม ก็สามารถทำการทบทวนได้ ขณะเดียวกัน กองทุนน้ำมันก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารในเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะขาดสภาพคล่อง ซึ่งสามารถใช้เงินในกองทุนเพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันได้จนติดลบ