คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,055 ระหว่างวันที่ 22-25 ธ.ค. 2567 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ถือเป็น “ข่าวดี” สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย เมื่อภาวะ “การส่งออก” สินค้าไทยไปยังต่างประเทศ หากสิ้นสุดปี 2567 มีโอกาสสูงที่จะโตทะลุ 5% (เป้าที่ตั้งไว้ 1-2%) หรือ ทะลุ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 10 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ...ข้อมูลสถานการณ์การส่งออกไทย 10 เดือนแรก ปี 2567 ตั้งแต่ ม.ค.-ต.ค.67 มีมูลค่า 250,398 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บวก 4.9% ข้อมูลดังกล่าวมีการเปิดเผยออกมาระหว่างการประชุมแถลงเป้าหมายการทำงานในการผลักดันการส่งออกปี 2568 ของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน ที่มี พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดประธานเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา
***ตัวแทนภาคเอกชน อย่าง ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ ชื่นชมนายกรัฐมนตรีและกระทรวงพาณิชย์ ในการขับเคลื่อนอย่างเข้มข้น ทำให้ปีนี้การส่งออกไทยโตขึ้นถึง 5% มากกว่าที่คาดไว้ และในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตต่อได้อีก ซึ่งอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวันนี้เชื่อว่าจะมีโอกาสให้กับไทยในหลายเรื่อง ทางกระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับภาคเอกชนให้ขับเคลื่อนการส่งออกของเศรษฐกิจไทย ถ้าไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรมากน่าจะไม่มีปัญหา
*** อรุณ เอี่ยมสุรีย์ กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยว่า ได้หารือกันกับกระทรวงพาณิชย์เกือบทุกเรื่อง มีการวางแผนป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งตัวเลขการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ และแผนงานด้าน FTA มีความคืบหน้าและมีเป้าหมายที่จะขยายเพิ่มเติม เป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับประเทศ
*** เช่นเดียวกับ ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่า ตัวเลขการส่งออกในปีนี้ถือเป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้กับประเทศ สูงที่สุดในประวัติการณ์มากกว่า 10 ล้านล้านบาท มาจากการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อระหว่างภาครัฐกับเอกชน และรัฐมนตรีมีนโยบายที่ชัดเจนในการทำงานร่วมกับเอกชน ทั้งการผลักดัน FTA และ การแก้ไขอุปสรรคทางการค้าอย่างจริงจังและรวดเร็ว โดยในปีหน้าเราต้องทันเหตุการณ์และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย
*** สำหรับปี 2568 กระทรวงพาณิชย์ โดย พิชัย นริพทะพันธุ์ คาดการณ์ว่า การส่งออก จะยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะเติบโตที่ 2-3% มูลค่า 305,000-308,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 10.38 - 10.482 ล้านล้านบาท โดยได้กำหนด 10 นโยบาย ผลักดันการส่งออกไทย ประกอบด้วย
1.ผลักดันการส่งออก ปี 2568 คาดว่าการส่งออกจะเติบโตได้ 2-3% ซึ่งหวังว่าจะทำได้มากกว่านี้ เพราะเชื่อว่าตอนนี้มีหลายอุตสาหกรรมแห่เข้ามาลงทุนในไทย
2.ไวต่อสถานการณ์ การค้าและการลงทุนเรื่องที่กังวลในประเด็นสหรัฐจะขึ้นภาษี ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งเจรจาโดยในเดือน ก.พ. ตนจะมีโอกาสพบกับผู้บริหารชุดใหม่ของสหรัฐ จะไปอธิบายว่าประเทศไทยไม่ควรโดนภาษีเพิ่ม เพราะไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าให้อเมริกา
3.เศรษฐกิจไทย กลับมาเป็นบวกต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าทุกวิกฤติเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย และจะเดินทางไปที่ญี่ปุ่นพบกับรมต.กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น หรือ METI และพบกับภาคเอกชนจะเชิญชวนให้มาลงทุนในไทย
4.ไทยพร้อมทำ FTA กับทุกประเทศ เพื่อเร่งขยายการค้า ทำเงินเข้าประเทศ
5.พร้อมเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ เศรษฐกิจไทยต้องโตอย่างต่ำ 5% ไปอีกปี 20 ปี ถึงจะหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ต้องพร้อมเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์และดาต้าเซ็นเตอร์
6.รีแบรนด์ Thai SELECT ให้เข้าใจง่ายคล้ายมิชลินสตาร์ และโปรโมทส่งออกสินค้าระดับ Think Thailand NEXT LEVEL ไม่ขายวัตถุดิบอย่างเดียว แต่จะขายสินค้าสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
7.สร้าง Thailand Brand การันตีสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อและร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สนับสนุนผู้ประกอบการ SME
8.ดึงดูดคนทั่วโลกด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ใช้เสน่ห์ของไทย ทำให้มีจุดขาย
9.ทูตพาณิชย์ต้องมองโอกาสใหม่ๆร่วมมือกับพาณิชย์จังหวัด ช่วยส่งเสริมธุรกิจของไทยผู้ประกอบการไทย
และ 10.กระทรวงพาณิชย์ ยุค 80:20 โดย 80% สนับสนุนภาคเอกชนส่งเสริมให้การค้าขายของเราให้เจริญรุ่งเรือง และอีก 20% ทำหน้าที่ควบคุมกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การเกิดค้าขายที่เป็นธรรม มีมาตรฐาน
*** ขณะเดียวกัน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย โดย พูนทวี ชัยวิจิตมลากุล ผู้ช่วยผอ.ศูนย์ฯ ได้เปิดเผยจังหวัดเด่น 10 จังหวัด ในปี 2568 ที่จะได้รับอานิสงค์การฟื้นตัวจากเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบด้วย
1. กรุงเทพมหานคร ได้คะแนนรวม 99.9 เป็นผลมาจากภาคบริการ (87.9%) ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าและบริการของประเทศ โดยมีแนวโน้มเติบโต แข็งแกร่งในปี 2568 จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การขยายตัวของ E-Commerce และบริการดิจิทัล
2. สมุทรปราการ ได้คะแนนรวม 97.6 เด่นจากเป็นภาคอุตสาหกรรม (49.1%) และภาคบริการ (50.2%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยมีฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และพลาสติกที่แข็งแกร่ง
3.ชลบุรี ได้คะแนนรวม 97.1 เด่นจากภาคอุตสาหกรรม (60.8%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมเครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ และเฟอร์นิเจอร์
4.นนทบุรี ได้คะแนนรวม 87.7 เด่นจากภาคบริการ (80.9%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะด้านการก่อสร้างและเทคโนโลยีสารสนเทศ
5.ปทุมธานี ได้คะแนนรวม 82.5 เด่นจากภาคอุตสาหกรรม (53.5%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ควบคู่กับภาคบริการ (45.1%) โดยมีธุรกิจบันเทิง ที่พักและร้านอาหารเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
6.ระยอง ได้คะแนนรวม 80.0 เด่นจากภาคอุตสาหกรรม (80.1%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยาง โลหะ และเครื่องจักร
7.สมุทรสาคร ได้คะแนนรวม 75.2 เด่นจาก ภาคอุตสาหกรรม (70.3%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กระดาษ พลาสติก และสิ่งทอ
8.พระนครศรีอยุธยา ได้คะแนนรวม 72.0 เด่นจากภาคอุตสาหกรรม (66.5%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดดเด่นในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร
9.ฉะเชิงเทรา ได้คะแนนรวม 71.4 เด่นจากภาคอุตสาหกรรม (71.7%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ได้รับประโยชน์จาก EEC และการเชื่อมโยงกับฐานการผลิตในภาคตะวันออก
10.ปราจีนบุรี ได้คะแนนรวม 68.8 เด่นจากภาคอุตสาหกรรม (74.1%) เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและการลงทุนในภาคการผลิต
การจัดอันดับ 10 จังหวัดเด่นดังกล่าว พิจารณาจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม และ ด้านบริการ โดยใช้ดัชนีชี้วัดทั้งแบบเชิงปริมาณ จำนวนผู้ประกอบการ ผลิตภาพแรงงาน และเชิงคุณภาพ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของรายได้ สะท้อนการประเมินที่ครอบคลุมทั้งสถานะปัจจุบันและศักยภาพในอนาคต...