ฟาดแรง! อดีตปลัดคลัง ชี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบ “ผักชีโรยหน้า”

18 ต.ค. 2564 | 07:28 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2564 | 14:38 น.

“สมชัย”อดีตปลัดคลัง ชี้ อย่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบผักชีโรยหน้า แนะ ธปท. คิดนอกกรอบ พร้อมฟื้นบทบาทกองทุนหมู่บ้านแก้ปัญหาคนตกงาน ซัดรัฐบาลไม่เคยผิดวินัยการเงินการคลัง เหตุขยายเพดานหนี้ฯ ได้เรื่อยๆ ต้นเหตุทำ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง หมดประสิทธิภาพ

นายสมชัย สัจจพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง  กล่าวในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “เพิ่มมุมคิด เติมมุมมอง ก้าวข้ามวิกฤต COVID-19” ในงานครบรอบวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลังปีที่ 60 โดยระบุว่า ยังมีความท้าทายอีกมากที่ภาครัฐ กระทรวงการคลัง และ สศค. ต้องเข้าใจ และหาทางแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่การแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ หรือ แบบผักชีโรยหน้า โดย 5 สิ่งที่อยากเห็น คือ

 

1.การแก้ปัญหาคนตกงานให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อีกครั้งอย่างมั่นคง โดยระบุ การแจกเงินไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่การจะยิงนก เมื่อกระสุนออกไป 1 นัดต้องได้นกกลับมา 2 ตัว ไม่ใช่ 1 ตัว พร้อมแนะให้มีการแบ่งโซนสีของความรุนแรงของปัญหา ให้โอกาสท้องถิ่นเป็นผู้ออกมาตรการ มีการเชื่อมโยงกับกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ควรฟื้นบทบาทของ “กองทุนหมู่บ้าน” ให้มีส่วนร่วมในการเสนอโครงการและการปล่อยสินเชื่อ  

2.การแก้ปัญหาให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มหรือคนตัวเล็กกลับมาค้าขายได้เหมือนเดิมแบบนิวนอมัล ชี้นโยบานเสริมสภาพคล่องของกระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้ตาข่ายกรองรูใหญ่เกินไป ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กหลุด ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บนเงื่อนไขที่ผ่อนปรนจริงหรือไม่ ขณะเดียวกันในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นพบว่าแบงก์พาณิชย์มีกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งแบงก์พาณิชย์ควรเข้ามามีบทบาทช่วย แต่มีการอ้างกฎเกณฑ์ของ ธปท. จึงต้องย้อนไปดูที่ ธปท. ว่าการทำนโยบาย ทำบนเครื่องมือใหม่ๆ ได้หรือไม่ ปรับนโยบายได้หรือไม่

 

“มองว่าที่ผ่านมา ธปท. ใช้นวัตกรรมใหม่ๆในการทำนโยบายน้อยมาก ดังนั้น นโยบายการเงินต้องปรับใหม่และนอกกรอบมากกว่านี้ เราเห็นปัญหาชัดเจน เราต้องยอมรับความจริง ขณะที่รัฐบาลไม่เคยทำผิดวินัยการเงินการคลัง เพราะเมื่อก่อหนี้เพิ่มและสุ่มเสี่ยงเกินเพดานหนี้สาธารณะ ก็ขยับเพดานหนี้ขึ้นเรื่อยๆ การทำแบบนี้ทำให้ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังหมดประสิทธิภาพ การจะขยายหนี้ต้องมีแผนรองรับการลดหนี้ที่ชัดเจน” นายสมชัย กล่าว

 

3.การแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนภาคประชาชนให้ลดลงเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นการออกมาตรการปรับโครงสร้าง ต้องมีมาตรการเสริมออกมาควบคู่ พร้อมแนะใช้ AO แก้ปัญหาความยากจนแบบรายคน ให้คำปรึกษาและติดตามผล ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบได้ผล และต้องร่วมมือกับผู้นำท้องถิ่นและต้องใช้ทรัพยากรบุคคลทั้งหมดที่มีเข้าไปช่วยแก้ปัญหา

4.การแก้ปัญหาความยากจนซ้ำซาก ซึ่งวิกฤตโควิดนี้กระทบอย่างมากต่อกลุ่มคนจน พร้อมระบุ กระทรวงคลัง และ สศค. กำลังใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ใชการใส่เงินเข้าไปแล้วจบ ซึ่งปรัชญาหลักของบัตรฯนี้มีขึ้นเพื่อทำให้คนถือบัตรลดลง ช่วยเปลี่ยนจากคนจนเป็นคนชั้นกลาง

 

การเพิ่มจำนวนบัตรฯมากขึ้น ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ หากในช่วง 3 ปีตั้งแต่มีบัตรฯ เกิดขึ้นในปี 60 และคนจนยังไม่ลดลง ต้องกลับมาแก้ที่ สศค. ต้องปรับเพิ่มมาตรการหรือนโยบายในการเข้าไปช่วยเหลือให้คนถือบัตรฯ หลุดจากการเป็นคนจน ฝาก สศค. ให้ปรับวิธีการ เพราะที่ทำตอนนี้ไม่ใช้วัตถุประสงค์ของบัตร”

 

 และ 5.การสร้างความสมดุลของรายได้ประเทศ โดยยังคงพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ แต่ต้องสร้างความสมดุลหรือความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในประเทศด้วย เช่น ด้านเกษตรอาหาร ด้านสุขภาพการแพทย์ ด้านการท่องเที่ยวที่ปรับมาเป็นการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เป็นต้น

 

นอกจากนี้ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ยังได้เน้นย้ำเรื่องการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ โดยระบุว่า การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเป็นปัญหาที่โครงสร้าง เพราะในช่วงเศรษฐกิจดี รัฐบาลก็จัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ดังนั้น จึงไม่ควรบอกว่า เมื่อเศรษฐกิจดีแล้วจะทำให้การจัดเก็บภาษีมากขึ้น  ซึ่งจำเป็นที่ต้องปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ใหม่