นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทาลิส จำกัดเปิดเผยว่า ช่วงปลายปีถือเป็นจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม จากการที่นักลงทุนมักจะมองการลงทุน โดยพิจารณาจากแผนธุรกิจและแนวโน้มผลประกอบการของปีถัดไป ซึ่งหากคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก
บริษัทจึงเห็นโอกาสและเป็นจังหวะที่ดีในการเสนอขายกองทุนเปิด ทาลิส หุ้นยูเอส เอ็นดีคิว-เฮดจ์ (TLUSNDQ-H) ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศกองแรกและเป็นก้าวใหม่ของ บลจ. ทาลิส ที่จัดทำขึ้นด้วยความตั้งใจ โดยจะเสนอขายครั้งแรก(IPO) ระหว่างวันที่ 8-17 พ.ย. 2564 โดยลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 1,000 บาทและครั้งถัดไปขั้นต่ำ 1,000 บาท และจะเสนอขายกองทุน 2 ชนิดประกอบด้วย
สำหรับกองทุน TLUSNDQ-H เป็นกองทุนรวมประเภท Feeder Fund ที่เน้นลงทุนในกองทุนรวมหลักในต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ กองทุน Invesco QQQ Trust, Series1 โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนและลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
กองทุนหลักเป็นกองทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) ที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด 100 บริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น NASDAQ และไม่เป็นสถาบันการเงิน โดยใช้นโยบายเชิงรับหรือลงทุนตามดัชนี NASDAQ-100 เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ-100
ทั้งนี้ กองทุน TLUSNDQ-H อาจพิจารณาลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยกองทุนจะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90%ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ และในกรณีขายคืนจะได้รับเงิน T+3 โดยไม่ต้องเสียภาษี
เนื่องจากเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม เทียบกับการลงทุนเองหรือลงทุนในรูปกองทุนส่วนบุคคล จะต้องมีการเสียภาษี Capital Gain Tax หากลงทุนเป็นระยะเวลาต่ำกว่า 1 ปี ทำให้มีความยืดหยุ่นในการจัดการเงินลงทุนมากกว่า โดยบลจ.ได้นำเสนอขายกองทุนดังกล่าวเป็น 2 ชนิดประกอบด้วย
“บริษัทยังคงยึดมั่นในการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตสูง และเน้นกระจายความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนที่บริษัทมองว่า ยังคงมีความน่าสนใจและสามารถเติบโตได้ของตลาดหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านดัชนี NASDAQ-100 ซึ่งเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีอัตราการเติบโตสูงคือ กลุ่มหุ้นนวัตกรรม ที่ยังคงเป็นกลุ่มขับเคลื่อนให้ผลตอบแทนของดัชนีอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มบริการ”นายประภาสกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังมีรายได้ที่มาจากภูมิภาคอื่นนอกประเทศสหรัฐในสัดส่วนที่สูง การลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจึงเป็นการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่จะส่งผลต่อวิถีชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปของโลกในอนาคตที่มิใช่เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา