นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเร่งศึกษารายละเอียดการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีทั้งระบบ เพราะขณะนี้ภาษีนำเข้ารถยนต์ของแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกันอยู่ เช่น จีนได้รับสิทธิความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากผลิตในบางประเทศ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ยังคงเสียภาษีในอัตราสูงอยู่ เนื่องจากไม่มีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศไทย ดังนั้น จึงต้องทำให้การแข่งขันเกิดความเป็นธรรม และทำให้คนไทยได้ใช้รถในราคายุติธรรมด้วย
รวมถึงเรื่องของภาษีชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่จะนำเข้ามาประกอบในประเทศ ซึ่งต้องมีความเหมาะสม และไม่กระทบแรงจูงใจให้ผู้ผลิตเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ซึ่งมั่นใจว่าจากนโยบายส่งเสริมอย่างจริงจังของรัฐบาล จะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลง โดยเฉพาะเมื่อไทยมีฐานการผลิตเอง ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้ ทั้งในเรื่องของราคาและความหลากหลายของรถยนต์ไฟฟ้า
“การปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า จะต้องจูงใจให้มีการใช้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์ในประเทศ เพราะรัฐบาลมุ่งหวังให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์รถไฟฟ้าเพื่อการส่งออก ดังนั้นการปรับภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าต้องสมดุลกัน ทั้งสองขา ทั้งคนใช้และผู้ผลิต และภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของแต่ละประเทศคงไม่จำเป็นต้องเท่ากัน แต่จะมีความสมดุลกันมากขึ้น ซึ่งในอนาคตราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงอย่างแน่นอน” นายสันติ กล่าว
นายสันติ กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ยังไม่เสนอเข้า ครม.ในช่วงนี้ เนื่องจากต้องรอคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) พิจารณาออกมาเป็นแพ็คเกจโดยรวม ซึ่งนอกจากเรื่องภาษีของคลังแล้ว ก็ยังมีมาตรการด้านการลงทุน มาตรการของกระทรวงพลังงาน และ กระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลเกี่ยวกับภาษีท้องถิ่นเข้ามาร่วมพิจารณาด้วย แม้ขณะนี้ในส่วนของเรื่องภาษี กระทรวงการคลังจะทำเสร็จแล้วก็ตาม
นายสันติ กล่าวด้วยว่า สำหรับอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้า จะปรับลดลงแน่นอน แต่จะเป็นลักษณะขั้นบันได ซึ่งภาษีรถเล็กจะต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยคิดตามอัตรากำลังไฟฟ้าที่ใช้ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็อยู่ระหว่างเดินหน้าผลักดันขยายจุดสถานีชาร์จให้เพิ่มขึ้นและครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และมีแผนที่จะสนับสนุนการลงทุนสถานีชาร์จ รวมทั้งการใช้แผงโซล่าเซลล์ตามบ้าน เพื่อลดต้นทุนการชาร์จไฟของผู้ใช้รถด้วย
อย่างไรก็ดี มองว่าในส่วนของรถยนต์และชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ประเภทสันดาปนั้น ผู้ประกอบการเองต้องเร่งปรับตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อไม่ให้ถูกกระทบเหมือนกันกรณีกล้องฟิล์ม ซึ่งเมื่อปรับตัวไม่ทัน ในที่สุดก็ต้องปิดกิจการ เพราะถูกกล้องดิจิทัลเข้ามาแทนที่